14 ตุลาคม, 2552

ลิงกับลา

หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม
> ด้วยความเหงานางจึงหา
> สัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว
>
> คือ ลิงและลา
> วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร
> ก่อนออกจาก
> บ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง
>
> แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง
> เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดิน
> ย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ
> ได้รับความเสียหาย
>
> ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป
> ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็น
> คุณลักษณะประจำตัวก็ค่อยๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน
> อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย
> หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้น
>
> ห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าว
> ของต่างๆ
> ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว
> อีกทั้งยังซุกซนรื้อ
> ค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี
> ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการ
> กระทำของเจ้าลิงอยู่เฉยๆ

> สักครู่หนึ่ง
> หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด
> เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของ
> เดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่าง
>
> ก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้
> อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง
>
> ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูก
> รื้อค้น
> กระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะ
>
> ขึ้นทันที
> หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง
> และเห็นว่าลาไม่มีเชือก
> ผูกขาดังเดิม
> เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เอง
>
> คือตัวปัญหา
> ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ
> ดังนั้นหญิงชาวบ้าน
> จึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมา
>
> ทุบตีลาอย่างรุนแรง
> ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บ
> ปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำ
> อะไรได้เลย
>
> เธอทั้งหลาย...
>
> เธอหลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก
> เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่
> ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของ
>
> ทำโทษจนตาย
> ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ
> กลับรอดพ้น
> และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ
> แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้
>
> ต้องการชี้ให้เห็นถึง
> ความเป็นผู้นำ
> ของหญิงชาวบ้านที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้
> ถ่องแท้
> เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไป
>
> ตามความรู้สึกและประสพการณ์ส่วนตัว
>
> เธอมองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นลาที่
> หลุดออกมาจากเชือก
> แล้วตัดสินว่า
> ลาคงเป็นผู้กระทำ
> แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก
> และไม่มีนิสัยชอบ
> รื้อทำลาย
> เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่
>
> ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ
> แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัย
> ชอบรื้อทำลายนั้นคือ
> ลิง
> ความจริงถ้าเธอรู้จัก
>
> สำรวจร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย
> เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไป
> ทั่วห้อง
> แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลย
>
> เพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน
>
> เหตุที่องค์กรของเราต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความสะเพร่า
> ของผู้นำ ที่ "ปล่อยให้ลิงสร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์"
> ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่
> แต่
> ไม่ค่อยมีปากมีเสียง
> พูดจา
> ตรงไปตรงมาแต่ไร้เลห์เหลี่ยม
>
> ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง
> พูดมาก
> พรีเซ็นต์เก่ง
> อ้างอิงตำราได้สารพัด
>
> แต่ไม่เคยทำงานจริง
> นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็
> ไม่มีทางรู้
>
> ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย
>
> นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม
> รู้จักยอมเสียสละตน
> สละเวลา
> อีกเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริงเพื่อควบคุมเจ้าลิง
> เพราะไม่เช่นนั้น
> องค์กรก็จะ
> ทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
>
> ถ้าลิงสงบได้องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วย
ที่มา :Mail Forwarding

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น