07 ตุลาคม, 2552

แผ่เมตตาให้ศัตรู

เจ้ากรรมนายเวรของเรา คือสัตว์น้อยใหญ่ที่เรากินเป็นอาหาร เราชอบกินหมู เจ้ากรรมนายเวรของเราก็คือ หมู เราชอบกินไก่ กินเป็ด เจ้ากรรมนายเวรของเราก็คือ ไก่และเป็ด แม้กุ้ง หอย ปู ปลา ที่เรากินมาตั้งแต่เกิด กระทั่งถึงวันนี้ นับไม่ถ้วนว่ากี่ร้อยกี่พันชีวิต ก็คือเจ้ากรรมนายเวรของเราทั้งสิ้น
เนื้อหนังมังสาของเรา อวัยวะทุกส่วน ล้วนแล้วแต่มีหุ้นส่วนของชีวิตสัตว์น้อยใหญ่ทั้งสิ้น บางครั้ง เราคิดว่าเป็นของเราคนเดียว ไม่เคยแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่ที่เรากินเข้าไปทุกวัน ทั้ง ๆ ที่เขาสละชีวิตของเขาเพื่อต่อชีวิตเราให้ยืนยาวออกไป
เขารู้สึกน้อยใจที่ถูกเพิกเฉย ความน้อยใจของเขาบางครั้งทำให้เราเกิดโรคร้าย เช่น มะเร็ง เป็นต้นได้ บางทีก็ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ หมอหาเหตุไม่พบ แต่พอแผ่เมตตากลับหาย เรื่องเช่นนี้ มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย
ทุกครั้งที่เราสวดมนต์ไหว้พระ ขอให้เราแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่ที่เรากินเป็นอาหาร การแผ่เมตตาให้เขา แท้จริงก็คือแผ่ให้ตัวเรานั่นเอง การให้เขาคือการให้เรา เพราะเขาอยู่กับเรา เขาคือร่างกายของเรา เขาสละชีวิตเลือดเนื้อมาเป็นพลังงานชีวิตเรา แม้ขณะที่เราอ่านหนังสือหรือทำอะไรอยู่ ก็มีพลังงานของเขาคอยสนับสนุนเราทุกส่วน
การแผ่เมตตาทำได้ง่าย เพียงแต่ให้นึกถึงเขาเสมอ ๆ คิดถึงความดีของเขาที่ส่งเสริมให้เรามีชีวิตอยู่ได้ถึงวันนี้ หลับตาน้อมจิตอธิษฐาน ขออย่างให้เราเกิดโรงภัยไข้เจ็บ ให้มีความปลอดภัยในชีวิต
การแผ่เมตตา ถือเป็นการแสดงการขอบคุณต่อหลายชีวิตที่ถูกปรุงเป็นอาหารอร่อยวางบนโต๊ะอาหารรอคอยเราร่วมวงขบเคี้ยว
ดูเหมือนเราไม่ค่อยคิดกันในเรื่องนี้ หากแต่มองเห็นทุกอย่างบนโต๊ะเป็นความอร่อย ทั้ง ๆ ที่ความจริงเรากำลังกิน ศพหมู ศพวัว ศพเป็ด ศพไก่ ศพปู ศพกุ้ง ศพปลา คิดดูเถิด คล้อยหลังจากเราอิ่มเพียงชั่วโมงเดียว เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา หูฉลามที่เรากินเข้าไป ก็ถูกย่อยเป็นพลังงาน ส่วนกากอาหารก็เน่าเหม็นเป็นอันตราย กระทั่งเราต้องขับถ่ายออกมาทุกวัน ๆ
เราอาจคิดไม่ถึงว่า เรากำลังกินสัตว์อื่น ชีวิตเราถูกเลี้ยงด้วยชีวิตของสัตว์อื่น การกินคือการต่ออายุ วันหนึ่งเราต่ออายุ 3 เวลา แต่ละเวลา เราต้องประหารชีวิตสัตว์อื่นหลายสิบชีวิต ขนาดใหญ่บ้าง ขนาดเล็กบ้าง บางทีไข่ในท้องปลาที่เรากิน หากเขาได้เกิดมาเป็นตัวก็คงเป็นปลาจำนวนมหาศาล แต่เราเคี้ยวกินเป็นกับข้าวเพียงคำเดียว
การแผ่เมตตาให้สัตว์น้อยใหญ่ที่เรากินเป็นอาหาร จึงเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการแสดงความขอบคุณและให้อภัยต่อกันและกัน ให้เขามีความรู้สึกว่า เขามีส่วนร่วมในชีวิตของเรา แขกก็จะรู้สึกอบอุ่นเพราะการต้อนรับที่ดีของเจ้าบ้าน ต่อมา ก็มาถึงการแผ่เมตตาถึงคนที่เรารักและคนที่รารู้สึกว่าเขาเป็นศัตรูกับเรา คือเรารู้สึกเกลียดชังเหลือเกิน ไม่อยากพูดด้วย ไม่อยากร่วมงาน ไม่อยากเกี่ยวข้อง ไม่อยากเห็นหน้า โดยธรรมชาติของมนุษย์ ยิ่งเกลียดกลับยิ่งได้อยู่ใกล้ ยิ่งโกรธก็ยิ่งถูกแกล้ง เขาทำอะไรลงไป ดูเหมือนจะขัดใจขวางหูขวางตาไปหมด เพราะเราตั้งใจไว้ผิดเสียแล้ว เพียงแต่เห็นก็เป็นทุกข์ เขาทำปากขมุบขมิบอยู่ไกล ไม่ได้ยินเสียง เรายังคิดว่าเขากำลังด่าเราได้
เราเป็นทุกข์เพราะความคิด ทุกข์เพราะจินตนาการเป็นความผิดของเราเอง มิใช่ความผิดของเขา บางทีเขาก็แกล้งให้เราเป็นทุกข์ เพราะรู้ว่า ให้ยาพิษแล้วเรายินดีรับมาดื่มเป็นความผิดของเราเอง เรากำลังจุดไฟภายในเผาเราเองต่างหาก
เป็นเรื่องน่าคิดว่า มนุษย์เราชอบมองหาผิด ชอบจับเอาความผิด เค้นหาความผิดของคนอื่น ส่วนความผิดของตนกลับกลบเกลื่อน ไม่ค่อยจับให้ถูก เมื่อจับผิดเขาจึงพลาดความดีตลอดเวลา อะไรที่เป็นขยะจึงขนเข้ามากองในใจทั้งหมด สุดท้ายหัวใจของเขาก็กลายเป็นกองขยะที่เน่าเหม็น มิใช่หิ้งบูชาที่งดงามอย่างที่คิดอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องเปลี่ยนวิธีคิดให้ได้ ปรับวิธีดำรงชีวิตเสียใหม่ ไม่ให้ใจเป็นถังขยะ แต่ให้ใจเป็นหิ้งบูชาพระที่งดงามทุกวัน ด้วยการมองหาดีของคนให้พบ มองบวก คิดบวก พูดบวก เพราะการทำอะไรเป็นบวก จะทำให้ได้กำไร และใจสบาย
ส่วนการมองลบ คิดลบ พูดในทางลบ นอกจากตัวเองเกิดทุกข์แล้ว ยังทำให้ผู้อยู่รอบตัวเราเป็นทุกข์ตามไปด้วย เราควรหลีกเลี่ยงคนที่คิดในทางลบ เพราะทำให้ชีวิตเราติดลบไปด้วย
การแผ่เมตตาให้คนที่เรารักทำได้ง่าย เพราะโดยธรรมชาติแล้ว เราชอบใคร เราก็อยากไปหาคนนั้น เรารักใครมาก ก็อยากยกให้เขาหมด มีอะไรก็ให้หมดได้โดยไม่รู้สึกเสียดาย แม้บางครั้ง เขาไม่อยากได้ เรายังยัดเยียดให้เลยถ้าพอใจ ภูมิใจ พอเขาไม่รับ ก็อาจเสียดายลึก หาว่าไม่สนใจ ไม่ยินดีต้อนรับ จากรักก็พาลจะกลายเป็นร้ายไป คนที่เราเกลียดชัง เรื่องจะแบ่งใจให้ไม่มีอยู่แล้ว เรื่องง่ายก็มักเป็นเรื่องยากเสมอ จึงจำเป็นต้องหาวิธีแผ่เมตตาที่แยบคาย
โดยธรรมชาติมนุษย์ เกลียดชังใคร แม้แต่เงาเราก็ไม่อยากเห็น มีอะไรก็ไม่อยากให้ เราไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับคน ๆ นั้น ต้องการเดินคนละเส้นทางห่างได้ยิ่งดี แต่เขาลืมคิดไปว่า ยิ่งเดินหนีก็ยิ่งถูกวิ่งตาม ตามขนาดข้ามภพข้ามชาติ จะมีใครคิดบ้างว่า ศัตรูบางคน ตั้งความปรารถนาขอให้เกิดลูกของเราก็มี เพื่อจะได้เผาผลาญจิตใจของเราให้ถึงที่สุด เช่น ลูกบางคนเกิดมา เพื่อผลาญทรัพย์สินสมบัติของพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่เกิดทุกข์ สอนไม่ได้ บอกไม่ฟัง ทำให้พ่อแม่นอนเป็นทุกข์ บางคนพ่อแม่ถึงขนาดตัดขาดจากความเป็นพ่อแม่ลูกกัน
แต่ช่างน่าแปลกเหลือเกินที่คนเรา ชังใครก็มักจะต้องได้เกี่ยวข้องกับคนนั้น ไม่อยากเห็นหน้าใคร ก็มักจะได้เห็นเขาอยู่บ่อย ๆ ยิ่งเกลี่ยดยิ่งได้อยู่ใกล้ ถึงขนาดบางคนต้องมาอยู่เป็นคู่ชีวิตก็มี อะไรทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ พลังงานความคิดที่เราไม่ยอมปลอดปล่อยอารมณ์ออกไปนั่นเองเป็นเหตุ สังเกตุดูให้ดีจะเห็นว่า เราคิดเกลียดเมื่อใด ก็เท่ากับเราทาสีบนผ้าที่สีกำลังจะเลือนหายไป เราคิดโกรธเมื่อใด เท่ากับเราตอกย้ำให้เกิดความคมชัดทางความรู้สึกขึ้นมาอีกเท่านั้น เป็นการเติมมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม ที่มีต่คน ๆ นี้นให้คงเหลืออยู่ตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่ใกล้จะเลือนหายไปแล้ว
คนเราชอบพูดถึงคนที่เราเกลียด เมื่อพูดบ่อย ๆ อารมณ์นั้นก็จะฝังแน่นในใจ แม้ไม่ปรารถนาจะเก็บความไม่ดีของคนนั้นไว้ หารู้ไม่ว่า นั่นคือการนำขยะที่เน่าเหม็นมาใส่ใจตัวเอง ในที่สุด ใจเราก็เต็มไปด้วยอารมณ์เกลียด อารมณ์เน่าเฟะอยู่ในใจเรา ถึงจำไว้ว่าคนที่เราเกลียดชังหรือโกรธแค้น หยุดพูดก็หยุดคิด หยุดคิดก็เลือนหาย เพียงแต่เราอดใจไม่ได้ มักย้ำคิดย้ำทำ ย้ำพูด สติเราไม่ชัดคมพอกับความรุนแรงของอารมณ์ การยับยั้งชั่งใจไม่เข้มแข็ง
ขอให้สังเกตุดูให้ดี เรื่องนิดเดียวสามารถบานปลายได้ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว บางทีเราพูดนิดเดียว แต่คนฟังนำไปขยายต่ออีกเป็นสิบ พูด 2 ครั้ง ก็นำไปขยายต่ออีกนับไม่ถ้วน ความเกลียดชัง อาจเริ่มต้นจากจุดนิดเดียว แต่แลยเป็นเชื้อไวรัสมากมาย เพราะคำพูดของเรา เพราะปากของเราเอง เพราะเห็นแก่ความสนุกปาก การปรับทุกข์ให้ตัวเอง เติมเชื้อแห่งความอาฆาตพยาบาทลงไปในจิตใจของเราเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องหาวิธิแผ่เมตตาให้ถูกต้อง คือแผ่ให้ถึงศัตรูให้ได้ เพื่อให้ความเป็นศัตรูในใจเขาและเราให้หมดไป
ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราแผ่เมตตาด้วยการใช้คำว่า "สัพเพ สัตตา แปลว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง"
คำนี้มีนัยที่สำคัญมากนั่นคือทรงสอนให้เราแผ่เมตตาให้ถึงศัตรูได้โดยไม่รู้สึกติดขัด เพราะให้คิดว่าคนทุกคนเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตมี่มาเยือนโลก ชาติชั้นวรรณะเขาสมมติเรียกให้ เกิดบนแผ่นดินไทย ก็เรียกคนไทย หากเกิดที่จีน ก็เรียกคนจึน เกิดญี่ปุ่น ก็เรียกว่าคนญี่ปุ่น
แต่ความเป็นคนเป็นสัตว์เท่ากัน มีความเสมอกันในการได้ชีวิต จริง ๆ แล้ว เราอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นานก็ต้องจากโลกนี้ไป การมาเกิดจึงไม่ต่างจากการมาเที่ยวเมื่อวีซ่าหมดอายุ ก็ต้องรีบกลับ ถ้าเราคิดกว้าง ๆ ได้อย่างนี้ คือคิดว่าทุกคนเป็นเพียงสรรพสัตว์เท่านั้น ไม่ได้คิดว่าเป็นศัตรู ใจของเราก็จะรู้สึกสบายขึ้น เบาโปร่ง หายใจโล่ง เราก็เริ่มจะแผ่เมตตาได้
ธรรมดามนุษย์เรา เวลาแผ่เมตตาให้คนที่เรารัก หลังจิดจิตจะถูกดึงออกไปอย่างแรง เหมือนเทน้ำลงไปในที่ลุ่ม น้ำจะไหลลงไปที่ลุ่มอย่างรวดเร็ว ส่วนส่งกระแสจิตแผ่เมตตาไปให้คนที่เราเกลียดชัง เหมือนเทน้ำให้ไหลไปที่ดอน ย่อมเป็นไปไม่ได้ อารมณ์ที่ส่งไปถึงคนที่เราเกลียด จึงมักจะติดขัด เพราะพลังจิตไม่ยอมเดินทาง เนื่องจากมีความคิดว่า จะแผ่เมตตาให้ศัตรูทำไม ในเมื่อเขาทำเราเจ็บ เมื่อคิดเพียงเท่านี้ คนที่เป็นศัตรูก็ยังคงเป็นศัตรูอยู่ต่อไป และอาจเพิ่มความเป็นศัตรูมากขึ้นทุกครั้งที่แผ่เมตตาให้คนที่เรารักเราชอบ
เหมือนมีเด็ก 2 คนยื่นอยู่ต่อหน้าเรา คนหนึ่งเรารักมาก อีกคนเราไม่รักเลย เวลายื่นของให้เด็ก เรายื่นให้เฉพาะเด็กที่เรารัก ไม่ยื่นให้คนที่เราชัง เด็กก็รู้สึกต่างกัน ทุกครั้งที่เรายื่นของให้เด็กที่เรารัก ก็จะเพิ่มความเกลียดชังในใจของเด็กอีกคน การอิ่มท้องครั้งที่สองของเด็กคนหนึ่ง ย่อมหมายถึงความหิวทวีคูณของเด็กอีกคน
วิธีแผ่เมตตา ท่านจึงสอนไม่ให้คิดว่าเป็นคนที่เรารักหรือชัง หากแต่ให้คิดว่า เป็นสรรพสัตว์ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายร่วมโลกเดียวกัน ทุกชีวิตเป็นเพียงธาตุ 4 ขันธ์ 5 เท่านั้น การคิดเช่นนี้ เป็นการปรับอารมณ์ให้สมดุลกันก่อนปรับให้ถึงธาตุเดิมของชีวิต ยกเชื้อชาติศาสนาวัฒนธรรมเผ่าพันธุ์ออกไปก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความสุดโต่งในรักหรือเกลียด เหมือนกับการปรับพื้นดินไม่ให้สูงหรือต่ำ แต่ปรับให้พื้นทุกตารางนิ้วได้ระดับเดียวกันหมดเสียก่อน แล้วึงเทน้ำลงไป น้ำที่เทลงไปก็จะกระจายไปทุกพื้นที่ได้ง่าย ที่ดอนก็ไม่มี ที่ลุ่มก็ไม่เกิดขึ้น การแผ่เมตตาก็เช่นเดียวกัน
การแผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียดทำได้ยาก ต้องใช้พลังจิตสูง แต่ถ้าทำได้แล้ว ก็สบายใจไปตลอดชีวิต อาจจะยากเพียงครั้งแรกครั้งเดียว ครั้งต่อไปก็ง่าย หากเราทำได้จนชิน ทุกอย่างก็ถือเป็นปกติ ไม่มีอุปสรรคขัดข้อง และความรู้สึกเป็นศัตรูหรือโกรธก็จะหายไปจากใจเรา
ในที่สุด คนที่เคยเป็นศัตรูเราก็จะกลับกลายเป็นมิตร ไม่ช้าก็เร็ว การก่อเวรข้ามภพข้ามชาติกันก็จะหมดไป ทุกชีวิตก็จะปลอดจากภัย เวรในสังสารวัฏ เกิดภพใดชาติใด ก็จะพบแต่คนดี มีครอบครัวดี มีลูกดี มีรูปสมบัติ มีสติปัญญาดี เพราะทุกอย่างเริ่มต้นที่ "ทำใจดี"ให้ได้นับแต่วันนี้
ที่มา http://board.palungjit.com/showthread.php?t=121886

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น