22 ตุลาคม, 2552

ข้อคิดดีดีจากถังน้ำสองใบ


ชายจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร
ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก
ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปีเต็มที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ ในผลงานเป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึก อับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง
มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา หลังจากเวลา 2 ปีที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น
วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า
" ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะ รอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทาง ที่กลับไปยังบ้านของท่าน"

คนตักน้ำตอบว่า " เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง
เพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่ ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า
และทุกวันที่เราเดินกลับ... เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเล็ดพันธุ์เหล่านั้น เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว...เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้"

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ และกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้
สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง

มองโลกหลาย ๆ ด้าน เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น
ที่มา : Mail Forwarding: ม่วย

20 ตุลาคม, 2552

ก - ฮ ทำ / ไม่ทำ ที่นำชีวิตเจริญ

เรื่องของ ก - ฮ
ทำ / ไม่ทำ
ที่นำชีวิตเจริญ

ก ที่ควรทำ ได้แก่ กอด พ่อแม่ ลูก สามี หรือภริยา วันละครั้ง เพื่อแสดงความรัก ความห่วงใย กอดเพื่อน เพื่อแสดงความเห็นใจ หรือให้กำลังใจ และก่อนนอน อย่าลืม กราบ พระ/สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ เพื่อขอบคุณ และขอพรสำหรับวันต่อไป

ก ที่ไม่ควรทำ คือ ก้าวร้าว ไม่ว่ากับใคร เพราะจะทำให้เป็นคนน่าเบื่อ ไม่น่าอยู่ใกล้ ไม่มีใครอยากให้ไปไหนด้วย กลัวไปทะเลาะวิวาทกับเขา

ข ที่ควรทำ ได้แก่ ขอบคุณ จงกล่าวทุกครั้ง ที่มีคนทำอะไรให้ และขำขัน คือ ให้เป็นคนมีอารมณ์ดี อารมณ์ขัน

ข ที่ไม่ควรทำ คือ ขุดคุ้ย เอาเรื่องเก่ามาว่าไม่จบสิ้น หรือหาเรื่องมาประจานเขา

ค ที่ควรทำ ได้แก่ ครุ่นคิด และ ใคร่ครวญ คือ คิดก่อนทำอะไรทุกครั้ง เพื่อมิให้ตัวเอง และคนอื่นเสียใจภายหลัง

ค ที่ไม่ควรทำ คือ คลั่งแค้น อย่าเป็นคนโกรธไม่รู้หาย อาฆาตไม่รู้จบ ทำให้คนอยู่ใกล้ไม่มีความสุข

ง ที่ควรทำ ได้แก่ งดงาม ด้วยการทำตัวเรา ให้งดงามทั้งกาย วาจาและใจเสมอ ง้องอน เมื่อเราทำผิด หรือง้อเพื่อทำให้คนที่เรารักรู ้สึกดีขึ้น และรู้จัก เงียบ ไม่โต้เถียงเสียบ้าง เพื่อให้เกิดความสงบสุข

ง ที่ไม่ควรทำ คือ งก อยากได้เกินควร และไม่รู้จักแบ่งปัน

จ ที่ควรทำ ได้แก่ รู้จัก จดจำ วันเกิด วันสำคัญของคนในครอบครัว เพื่อนฝูง คนรัก และทำอะไรเป็นพิเศษให้บ้าง ข้อสำคัญต้อง จริงใจ ไม่เสแสร้งหลอกลวง อันจะทำให้ต้องหวาดระแวงกันตลอดเวลา

จ ที่ไม่ควรทำ คือ จู้จี้จุกจิก พิถีพิถันเกินเหตุ ใครทำอะไรให้ก็ไม่พอใจสักที และไม่เจ้าชู้ ให้เกิดปัญหาในครอบครัว หรือที่ทำงาน

ฉ ที่ควรทำ ได้แก่ ทำตัวให้ ฉลาดเฉลียว รู้ว่าอะไรควร ไม่ควร รู้กาลเทศะ รู้จักพูด รู้จักทำสิ่งต่างๆ

ฉ ที่ไม่ควรทำ คือ ฉุนเฉียว ให้คนหวาดผวา

ช ที่ควรทำ ได้แก่ ชมเชย ชื่นชม คือ รู้จักกล่าวคำชม หรือแสดงความชื่นชม ในความสำเร็จ หรือเรื่องดีๆ ของผู้อื่นบ้าง

ช ที่ไม่ควรทำ คือ ช่วงชิง คือ อย่าไปแย่งของรัก ของหวงของผู้อื่น หรือ ชุบมือเปิบ ฉวยประโยชน์ของคนอื่น มาเป็นของเราโดยไม่ลงทุนลงแรง

ซ ที่ควรทำ ได้แก่ ซื่อสัตย์ ทั้งต่อตนเอง และผู้อื่น

ซ ที่ไม่ควรทำ คือ ซุบซิบนินทา หาเรื่องผู้อื่น หรือ เซ้าซี้ จนน่ารำคาญ และอย่าทำท่า เซ็ง จนคนอื่นไม่สนุกไปด้วย

ฒ ที่ควรทำ ได้แก่ การเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ที่ทรงความรู้ และทำตัวให้น่าเชื่อถือ

ฒ ที่ไม่ควรทำ คือ อย่าทำตัวเป็น เฒ่าทารก ไม่รู้จักโต เฒ่าสารพัดพิษ ที่เจ้าเล่ห์ แสนกล และ เฒ่าหัวงู ที่เป็นอันตรายแก่เด็กสาว และกลายเป็นคนแก่ที่ไม่น่านับถือ

ด ที่ควรทำ ได้แก่ ดี คือ การทำความดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง มีเหตุมีผล

ด ที่ไม่ควรทำ คือ ดุด่า อย่าไปดุด่าว่าใคร หรือใช้อารมณ์จนเกินเหตุ และอย่า โดดร่ม หนีงานบ่อย เพราะเป็นการเอาเปรียบคนอื่น และอย่าเป็น ไดโนเสาร์เต่าล้านปี รุ่นโบราณคร่ำครึ แต่จงเป็นรุ่นจูราสิคปาร์ค ที่คุยกับเด็กๆ สมัยใหม่รู้เรื่อง

ต ที่ควรทำ ได้แก่ ตักเตือน เมื่อเห็นใครทำผิด หรือทำไม่ถูกต้อง ด้วยความหวังดี

ต ที่ไม่ควรทำ คือ ตลบตะแลง ใช้เล่ห์กล หรือโกหกหลอกลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อ

ถ ที่ควรทำ ได้แก่ ไถ่ถาม ห่วงใยทุกข์สุขของเพื่อนฝูง คนรู้จัก และคนที่เรารัก

ถ ที่ไม่ควรทำ คือ ถากถาง อันเป็นการพูดเหน็บ หรือค่อนว่าให้คนอื่นเขาเจ็บใจ

ท ที่ควรทำ ได้แก่ ทะนุถนอม คือ การดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน

ท ที่ไม่ควรทำ คือ ทิฐิมานะ คือ การโอ้อวดถือดี ถือตัว ไม่ยอมแพ้ จะเอาชนะให้ได้

ธ ที่ควรทำ ได้แก่ ธรรมะ คือ มีหลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต

ธ ที่ไม่ควรทำ คือ ธุระไม่ใช่ ด้วยการละเลย บอกปัด ไม่สนใจจะช่วยเหลือใครทั้งสิ้น

น ที่ควรทำ ได้แก่ นอบน้อม เคารพคนที่ควรเคารพ มี น้ำใจ ให้กับทุกๆ คน ช่วยเท่าที่ช่วยได้

น ที่ไม่ควรทำ คือ นอกลู่นอกทาง หรือ นอกคอก ด้วยการไม่ประพฤติตนตามที่ควรเป็น

บ ที่ควรทำ ได้แก่ บุญ คือ การประกอบคุณงามความดีทุกรูปแบบ

บ ที่ไม่ควรทำ คือ บัดสีบัดเถลิง อันจะทำให้ตัวเรา และผู้เกี่ยวข้องอับอายขายหน้า เป็นที่รังเกียจ

ป ที่ควรทำ ได้แก่ ปลอบโยน เห็นใครมีทุกข์ ก็ปลอบใจ /ให้คำปรึกษา และเห็นอกเห็นใจเขา

ป ที่ไม่ควรทำ คือ โป้ปดมดเท็จ เป็นการกล่าวโกหก ครั้นต่อไปพูดอะไร คนเขาก็ไม่เชื่อ

ผ ที่ควรทำ ได้แก่ ผัวเดียวเมียเดียว อันจะช่วยลดปัญหาครอบครัว และสังคม ทำให้เด็กๆ อบอุ่น

ผ ที่ไม่ควรทำ คือ ผรุสวาท (ผะรุสะวาด) กล่าวคำหยาบ เป็นที่ระคายเคืองหูต่อผู้ที่ได้ยิน

ฝ ที่ควรทำ ได้แก่ ฝึกฝน คือ ทำอะไรด้วยความเพียร พยายามฝึกให้ชำนาญ

ฝ ที่ไม่ควรทำ คือ ใฝ่ต่ำ ชอบทำอะไรในทางลบ ก่อความเสียหายแก่ตัวเองและครอบครัว

พ ที่ควรทำ ได้แก่ พรหมวิหารสี่ คือ มีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาต่อตนและคนรอบข้าง

พ ที่ไม่ควรทำ คือ พนัน เพราะจะทำให้เสียเงิน เสียเวลา และนำไปสู่ความเดือดร้อนเรื่องอื่นๆ

ฟ ที่ควรทำ ได้แก่ ฟังหูไว้หู ไม่เชื่อใครง่ายๆ หรือไม่ฟังคำยุยง ที่จะทำให้เกิดความแตกแยก

ฟ ที่ไม่ควรทำ คือ ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ เพราะจะทำให้เสียทรัพย์โดยใช่เหตุ และไม่จำเป็น

ภ ที่ควรทำ ได้แก่ ภาคภูมิ คือ ทำตัวให้สง่า ผึ่งผาย ไม่ซอมซ่อ ทำให้คนที่รักภูมิใจในตัวเรา

ภ ที่ไม่ควรทำ คือ ภาระ กล่าวคือ ทำตัวไม่รู้จักโต ไม่รู้จักคิด เป็นที่หนักใจแก่คนอื่นตลอดเวลา

ม ที่ควรทำ ได้แก่ มัธยัสถ์ คือ รู้จักใช้จ่ายอย่างประหยัด และเท่าที่จำเป็น ทำให้ไม่เดือดร้อน

ม ที่ไม่ควรทำ คือ โมหะ นั่นคือทำตัวมืดมน มัวเมาด้วยความหลงผิดต่างๆ นานา

ย ที่ควรทำ ได้แก่ ยกย่อง ให้เกียรติทุกคน ไม่ดูหมิ่น ดูแคลนไม่ว่ากับพ่อแม่ พี่น้องหรือเพื่อนฝูง

ย ที่ไม่ควรทำ คือ เย้ยหยัน /เยาะเย้ย ทำให้เขาเจ็บใจ เสียใจและผูกใจเจ็บ หรือ ยุยง ให้แตกแยก

ร ที่ควรทำ ได้แก่ รัก ตัวเอง และรักผู้อื่นให้เป็น และมี ระเบียบ ในการปฏิบัติตนและการทำงาน

ร ที่ไม่ควรทำ คือ รังควาน ด้วยการรบกวน ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน รำคาญทั้งกาย และใจ หรือ แรด อันหมายถึง ดัดจริต จนคนเขาระอา และหมั่นไส้ไปทั่ว

ล ที่ควรทำ ได้แก่ ละมุนละม่อม หรือ ละมุนละไม คือ ทำอะไรด้วยความอ่อนโยน นิ่มนวลต่อกัน

ล ที่ไม่ควรทำ คือ ลวนลาม ล่วงเกิน แทะโลมผู้อื่นด้วยวาจา หรือการกระทำ จนเป็นที่ดูถูก


ว ที่ควรทำ ได้แก่ วันทา คือ การไหว้ และแสดงอาการเคารพต่อบุคคล สถานที่ที่ควรเคารพ

ว ที่ไม่ควรทำ คือ วู่วาม ไม่รู้จักเก็บอารมณ์ และทำให้เกิดเรื่องเกิดราวได้ง่าย

ศ ที่ควรทำ ได้แก่ ศักดิ์ศรี คือ ทำตนให้มีเกียรติ และมี ศีล ทำให้เราน่าคบ และน่าเคารพนับถือ

ศ ที่ไม่ควรทำ คือ ศัตรู อย่าก่อศัตรู หรือเป็นศัตรูกับผู้อื่น จะทำให้ชีวิตเราไม่สงบสุข และกลุ้มใจ

ส ที่ควรทำ ได้แก่ สติ คือทำอะไรให้มีสติอยู่ตลอดเวลา และเสียสละ ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสบ้าง

ส ที่ไม่ควรทำ คือ ส่อเสียด และ เสแสร้ง เพราะจะทำให้คนโกรธ และไม่อยากคบ เพราะไม่จริงใจ

ห ที่ควรทำ ได้แก่ หอมแก้ม คนที่เรารักบ้างเป็นครั้งคราว อันจะทำให้ชีวิตรักสุข สดชื่น

ห ที่ไม่ควรทำ คือ หงุดหงิด อารมณ์เสียอยู่เสมอ ทำให้คนอยู่ใกล้หมดความสุข

อ ที่ควรทำ ได้แก่ อโหสิ ให้อภัย แก่คนรอบข้าง

อ ที่ไม่ควรทำ คือ เอาใจยาก หรือ เอาใจออกห่าง ล้วนทำให้เกิดปัญหาทั้งสิ้น

ฮ ที่ควรทำ ได้แก่ แฮปปี้ ( Happy )คือ ทำตัวให้สบาย มีความสุขตลอดเวลา อย่าเป็นคนเจ้าทุกข์

ฮ ที่ไม่ควรทำ คือ โฮกฮาก ทำเสียงกระแทกเวลาพูด ทำให้เสียบุคลิกภาพ

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล :
คุณอมรรัตน์ เทพกำปนาท
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
กระทรวงวัฒนธรรม

14 ตุลาคม, 2552

วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด

* วิธีอยู่กับคนที่เราเกลียด *
ถ้าเรารู้สึกไม่ชอบหน้าใครสักคนหนึ่งแต่จำเป็นต้องอยู่ทำงานด้วยกันในที่ทำงานเดียวกันทุกๆ วัน ผมควรจะวางตัวอย่างไรดีครับ
มันอึดอัดไปหมด ไม่มีความสุขเลยตลอดเวลาที่อยู่ในสำนักงานร่วมกันคนคนนี้
============ ========= =====
วิสัชนา โดย ว.วชิรเมธี

รู้ไหมว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้คนละกี่ปี
ชีวิตนั้นสั้นยิ่งกว่าหยดน้ำค้างเสียอีก จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า

ถ้าเราใช้เวลาอันแสนสั้นนี้ไปมัวหลับๆตื่นๆอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง
หมั่นไส้คนนั้น ปลาบปลื้มคนนี้ ริษยาเจ้านายใส่ไคล้ลูกน้! อง
ปกป้องภาพลักษณ์ (อัตตา) กด (หัว)

คนรุ่นใหม่หลงใหลเปลือกของชีวิต โดยลืมไปเลยว่าอะไรคือสิ่งที่ตนควรทำอย่างแท้จริง
คิดดูเถิดว่า เราจะขาดทุนขนาดไหน
ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์ เขียนบทกวีไว้ว่า

'' น้ำไหลอายุขัยก็ไหลล่วง ใบไม้ร่วงชีพก็ร้างอย่างความฝัน
ฆ่าชีวาคือพร่าค่าคืนวัน จะกำนัลโลกนี้มีงานใด ''

คนเราไม่ควรพร่าเวลาอันสูงค่าด้วยการปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความชอบ ความชัง มากนัก
เพราะถ้าเราวิ่งตามกิเลส กิเลสก็จะพาเราวิ่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ต่อไปไม่รู้จบ
กิเลสไม่เคยเห! นื่อย แต่ใจคนเราสิจะเหนื่อยหนักหนาสาหัสไม่รู้กี่เท่า

ควรคิดเสียใหม่ว่า เราไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะชอบหรือไม่ชอบใคร
หรือเพื่อที่จะให้ใครมาชอบหรือมาชัง
แต่เราเกิดมาสู่โลกนี้เพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์คนหนึ่งควรจะทำ
เอาเวลาที่รู้สึกแย่ๆ กับคนอื่นนั้นหันกลับมามองตัวเองดีกว่า
ชีวิตนี้เรามีอะไรบ้างที่เป็นแก่นสาร มีงานอะไรบ้างที่เราควรทำ

นอกจากนั้นก็ควรมองกว้างออกไปอีกว่า
เราได้ทำอะไรไว้ให้แก่โลกบ้างแล้วหรือยัง
คนทุกคนนั้นต่างก็มีดีมีเสียอยู่ในตัวเอง
ถ้าเราเลือกมองแต่ด้านเสียของเขา
จิตใจของเราก็เร่าร้อน หม่นไหม้

เวลาที่เสียไปเพราะมัวแต่สนใจด้านไม่ดีของคนอื่นก็เป็นเวลาที่ถูกใช้ไปอย่างไร้ค่า

บางที่คนที่เราลอบมอง ลอบรู้สึกไม่ดีกับเขานั้น
เขาไม่เคยรู้สึกอะไรไปด้วยกันกับเราเลย
เราเผาตัวเราเองอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความหงุดหงิด ขัดเคืองและอารมณ์เสีย
วันแล้ววันเล่า สภาพจิตใจแบบนี้ไม่เคยทำให้ใครมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นมาได้เลย

ลองเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลกเสียใหม่ดีกว่า

คิดเสียว่าคนเราไม่มีใครดีพร้อมหรือ เลวไม่มีที่ติไปเสียทั้งหมดหรอก
เราอยู่ในโลกกันคนละไม่กี่ปี ประเดี๋ยวเดียวก็จะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
มาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไม
อะไรที่ควรทำก็รีบทำเถิดปล่อยวางเสียบ้าง
คว! ามโกรธ ความเกลียดนั้นไม่มีคุณค่าอะไรต่อชีวิตอันแสนน้อยนิดนี้เลย !
มุ่งไปข้างหน้า ไปหาสิ่งที่มีคุณค่าให้ชีวิตดีงามดีกว่า

วิธีที่แนะนำทั้งหมดนั้น นักภาวนาเรียกว่า '' การกลับมาอยู่กับตัวเอง ''
กล่าวคือ ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่กับคนที่ไม่ถูกโฉลก
แทนที่จะปล่อยใจให้อยู่กับ ความรู้สึกแย่ๆไปตลอด ก็ควรหันกลับเข้ามา '' มองด้านใ! น ''
แก้ไขที่ตัวเอง อย่ามุ่งแก้ไขที่คนอื่น
เพราะยิ่งพยายามแก้ไขคนอื่น ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงทอดแห
ยิ่งเราให้ความสำคัญกับคนที่เราเกลียดมากเท่าใด
สภาพจิตใจก็ยิ่งแย่ลงมากเท่านั้น

วิธีที่ดีที่สุดในการอยู่กับคนที่เรารู้สึกไม่ดีหรือเป็นปฏิปักษ์ก็คือ
การดึงความรู้สึกจากเขามาอยู่กับเราทุกขณะ

ที่สุดของหัวใจ



ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
.........คิดอะไรให้วุ่นวาย.........
...ทำตัวสบายๆมีความสุขกว่ากันเยอะ...
30 บาทรักษาทุกโรค
ในขณะที่ในหลวงท่านทรงประชวรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ข้าพเจ้าศึกษาอยู่เมื่อต้นปีนี้
มีข้าราชบริพารเข้าเยี่ยมจำนวนมาก
ทุกคนคงจำได้ที่เป็นข่าวใหญ่โตที่นายกฯท่านหนึ่ง
บังอาจถวายบัตร 30 บาท ให้พระองค์ เพื่อใช้สิทธิ์
สร้างความแค้นเคืองใจให้พสกนิกรชาวไทยทุกคน
แต่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังว่าพระองค์ทรงตอบว่าอย่างไร
ในหลวงทรงตรัสว่า
"ไม่เป็นไรหรอกหากข้าพเจ้าไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้
แต่คงสามารถใช้บัตรผู้สูงอายุได้หรือจะใช้สิทธิข้าราชการของบุตรี (ฟ้าหญิง) ก็ได้"
ท่านพูดเสียงเรียบๆ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกลบหลู่เลยพูดเสร็จก็ยื่นบัตรทองใบนั้น
ให้นายกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ว่าท่านตอบได้น่ารักมาก
เคยมีคนถามผมว่านับถือใครมากที่สุด คิดถึงคนแรกและคนเดียวเลยคือ ในหลวงท่านเหนือกว่ากษัตริย์ใดในโลกหล้ายิ่งใหญ่กว่าวีรบุรุษคนใดในตำนาน
มีคุณธรรมประเสริฐล้ำเทียบพระโพธิสัตว์
ขอถวายความจงรักภักดีจนกว่าชีวีจะหาไม่
**********************
เชื้อโรคตายหมด
หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี
ผู้อำนวยการโครงการหลวง
....... เหตุการณ์ในปี ๒๔๑๓ ที่ควรจะนำมากล่าว
เพราะมีผลต่อจิตใจของชาวเขา
และควรที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ทราบเพื่อพยายามเดินตาม
"เบื้องยุคลบาท"วันนั้นเสด็จฯ ไปหมู่บ้านดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่
ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ "ไปแอ่วบ้านเฮา" ก็เสด็จฯ
ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ และมุงหญ้าแห้งเขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำ ๆ จับ
ผู้เขียนรู้สึกเป็นห่วงเพราะตามปกติ ไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ
จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวยแล้วส่งถ้วยมา พระราชทานให้ผู้เขียนจัดการ แต่ก็ทรงดวดเองกร้อบเดียวเกลี้ยง
ตอนหลังรับสั่งว่า.."ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้น เชื้อโรคตายหมด"
จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ
ข้าวผัดไข่ดาว โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
วันหนึ่งเสด็จฯเขาค้อเปิดอนุสาวรีย์
พอเปิดอนุสาวรีย์เสร็จพระองค์ท่านก็ขอกลับไปที่พระตำหนักเฟื่อจะทรงเปลี่ยน
ฉลองพระบาทเพราะเดี๋ยวจะไปดูงานในป่าในดง.........เราก็ไม่ได้ทานข้าวไม่มีใครทานข้าว
ตอนนั้นบ่ายสองโมงแล้วก่อนจะเปลี่ยนฉลองพระบาทสักยี่สิบนาทีน่าจะพุ้ยข้าวทันก็รีบวิ่งไปห้องอาหารที่เตรียมไว้ปรากฏว่าพวกที่ไม่ได้
ตามเสด็จเขาทานกันหมดแล้วในนั้นจึงเหลือข้าวผัดติด
ก้นกระบะกับมีไข่ดาวทิ้งแห้งไว้ 3-4 ใบ
เราก็ตักเห็นมีข้าวอยู่จานหนึ่งวางไว้มีข้าวผัดเหมือนอย่างเราไข่ดาวโปะใบหนึ่งมีน้ำปลาถ้วยหนึ่งวางอยู่เพื่อนผมก็จะไปหยิบมามหาดเล็กบอกว่า "ไม่ได้ๆ ของพระเจ้าอยู่หัว
ท่านรับสั่งให้มาตัก"
ดูสิครับตักมาจากก้นกระบะเลยผมนี่น้ำตาแทบไหลเลยท่านเสวยเหมือนๆกันกับเรา......
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ
พับเพียบ
รองศาสตราจารย์ ดร.สุธี อักษรกิตติ์ผู้สนองพระราชดำริ ในโครงการระบบสื่อสารสายอากาศ
และอิเล็กทรอนิกส์
... ในครั้งแรก ผมทำงานตามพระราชดำริ
โดยไม่ทราบว่าเป็นงานของพระองค์จนกระทั่งวันหนึ่ง มีคนบอกว่า ให้เข้าไปในวังด้วยกัน
และให้นำระบบสายอากาศชนิดใหม่ขึ้นไปติดตั้ง ก็ไม่ได้คิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯ มาแต่ว่าแปลกใจทำไมอยู่ดี ๆเจ้าหน้าที่ที่กำลังติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆอย่บนดาดฟ้าของพระตำหนักถึงปีนลงมาทั้ง ๆ ที่งานยังไม่เสร็จ แท้ที่จริงพระองค์ท่านเสด็จฯ มายืนอยู่ข้างหลัง
ผมเหลียวหลังไปมองนิดหนึ่ง ครั้นพอเห็นพระองค์ท่านก็ตกใจ
เป็นอาการวูบขึ้นมาทันที นึกอยู่ในใจว่าใช่แล้ว ใช่แน่ ๆ
เพราะคิดว่าเหมือนในรูปผมก็รีบทำความเคารพ แล้วก็ทำอะไรไม่ถูก
สิ่งที่ผมจำได้คือเราต้องอยู่ต่ำกว่าจึงรีบคุกเข่าให้ต่ำลงมาเป็นเหมือนชันเข่า
เพราะว่าตอนนั้นพระองค์ท่านประทับยืนอยู่
ถ้านั่งพับเพียบเลยก็จะต่ำเกินไปเพราะว่าผมต้องพูดอธิบายด้วย
ปรากฏว่าพระองค์ท่านก็คุกเข่าลงไปด้วยผมก็เลยนั่งพับเพียบให้ต่ำลงไปอีก
พระองค์ท่านก็ประทับพับเพียบเหมือนกันเลยกลายเป็นว่าวันนั้น นั่งพับเพียบสนทนากัน ๒-๓ ชั่วโมงบนดาดฟ้าพระตำหนักในเวลาช่วง บ่ายที่ร้อนเปรี้ยง .......
จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ
ไม่ต้องกั้น
โดยดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
มีอยู่ครั้งหนึ่งเสด็จฯไปที่เซ็นทรัลวันที่มีประชุมรัฐสภาโลก
วันนั้นผมจำได้ผมติดอยู่บนท้องถนนฝนตกผมก็มีวิทยุเลยได้ยินรับสั่งมากับตำรวจมาเลย
"วันนี้ไม่ต้องกั้นรถ"ทรงเข้าใจความทุกข์ของราษฎรอยู่ตลอดเวลา
วันนี้เป็นวันฝนตกรถติดกันอย่างมหาศาลถ้าขืนต้องไปติดขบวนอีกสร้างความทุกข์ให้กับประชาชนทรงวิทยุบอกตำรวจว่า
"ขบวนจะแล่นไปพร้อมกับรถของประชาชนไม่ต้องกั้นเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน"
จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ
กส. ๙
พลตำรวจตรี สุชาติ เผือนสกนธ์อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข
..พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้เครื่องวิทยุที่ทรงมีอยู่
เฝ้าฟังและติดต่อกับ "ปทุมวัน" และ "ผ่านฟ้า" เป็นครั้งคราวเมื่อทรงว่างพระราชภารกิจอื่น
การติดต่อทางวิทยุได้ทรงมีพระบรมราชานุญาต
ให้ผู้ที่ติดต่อกับพระองค์ท่านไม่ต้องใช้ราชาศัพท์พระองค์ท่านทรงจดจำสัญญาณเรียกขาน, ประมวลคำย่อ (โค๊ด "ว")ได้อย่างแม่นยำ
และใช้ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยยังปฏิบัติไม่ได้
โดยการรับฟังการติดต่อในข่ายวิทยุของตำรวจนี้เองจึงทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบข่าวรายงานเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่นข่าวโจรกรรม ,อัคคีภัย ,การจราจรได้ทุกระยะ
ในการเสด็จจากที่ประทับของพระองค์ท่านเพื่อปฏิบัติพระราชภารกิจ
... จึงทรงพระกรุณารับสั่งให้สมุหราชองครักษ์ติดต่อประสานงานกับพรมตำรวจ
ให้สั่งการสถานีตำรวจท้องที่ติดต่อสื่อสารทางวิทยุกับแผนกรักษาความปลอดภัย
บุคคลสำคัญ กรมราชองครักษ์ เพื่อจะได้ทราบกำหนดเวลาเสด็จออกจากพระตำหนักที่ใกล้เคียง
และปิดการจราจรในเส้นทางผ่านเพียงช่วงเวลาสั้น ๆประชาชนจะได้ไม่เดือดร้อน
... มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้รับสั่งทางวิทยุ กับพนักงานวิทยุ
สถานีวิทยุกองกำกับการตำรวจนนทบุรี เพื่อจะพระราชทานคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติ การสื่อสารบางประการโดยทรงใช้สัญญาณเรียกขานว่า "กส. ๙" ติดต่อเข้าไป
พนักงานวิทยุผู้นั้นจำพระสุรเสียง ไม่ได้จึงได้สอบถามว่า "เป็น กส.๙" จริงหรือปลอม
ทั้งดูเหมือนจะใช้คำพูดไม่สู้จะเรียบร้อยเรื่องนี้จึงเดือดร้อน มาถึงผู้เขียน
เนื่องจากได้รับสั่งเล่าเหตุการณ์มาให้ทราบเพื่อให้ช่วยยืนยันว่าเป็น "กส.๙ จริง"
...ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์ท่าน ยังทรงห่วงใยว่าพนักงานวิทยุผู้นั้น จะถูกลงโทษทางวินัย จึงได้รับสั่งทางวิทยุให้ผู้เขียนติดต่อประสานงานกับผู้บังคับบัญชาของพนักงานวิทยุ
ขออย่าให้มีการลงโทษเลย
จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ
ตัวยึกยือ
มนูญ มุกข์ประดิษฐ์
รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อดีตเลขาธิการ สำนักงานกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
...... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จะพระราชดำเนินด้วยพระบาท
เข้าไปในป่ายางท่ามกลางฝนตกหนักโดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตามรอยพระยุคลบาทไปไม่ห่างเป็นระยะทางถึง ๒ กม. เศษ
.... นี่คือสิ่งที่มิใช่สามัญธรรมดาในความรู้สึก ของผู้คนและความไม่สามัญธรรมดานี้ ก็ยิ่งไม่ธรรมดามากยิ่งขึ้น เป็นทวีคูณเนื่องเพราะบริเวณนี้คือ "ดงทาก" หรือ "รังทาก"อันมีทากชุกชุม ที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้
...กว่าจะถึงจุดหมาย คือบริเวณพื้นที่ที่จะพิจารณาสร้าง อ่างเก็บน้ำเพื่อใหม่มีน้ำไว้ใช้ สำหรับพื้นที่
๕,๐๐๐ ไร่ใน ๓ เขตตำบลคือ เชิงคีรี มะยูง และรือเสาะ เกือบทุกคนก็โชกฝน และโชกเลือด
แม้ทูลกระหม่อมทั้งสองพระองค์ ก็มิได้รับยกเว้น
..... ค่ำวันนั้น ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์
อากาศปลายฤดูฝน กำลังสบาย ดวงดาวบนท้องฟ้า เริ่มจะปรายแสงขบวนรถยนต์พระที่นั่ง ได้หยุดลงอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุบนทางหลวงที่มืดสงัด เป็นเวลาหลายนาทีถามไถ่ได้ความภายหลังว่ายังมีทากหลงเหลือ กัดติดพระวรกายอยู่อีก เมื่อรู้สึกพระองค์จึงได้ทรงหยุดรถยนต์พระที่นั่งและรับสั่งให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯช่วยจับทากที่ตัวเป่งด้วยพระโลหิตออกจากพระวรกาย
... ทรงเรียกการทรงงานวิบาก ที่เชิงคีรีครั้งนี้ในภายหลังว่าสงครามกับตัวยึกยือ ที่เชิงคีรี "
จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

สิ่งที่ได้มา และสิ่งที่เสียไป


สิ่งที่ได้มาและสิ่งที่เสียไป...

เราสร้างตึกที่สูงขึ้น.....แต่วัดที่เตี้ยลง
เรามีทางด่วนที่กว้างมากขึ้น..... แต่มีทัศนคติที่แคบลง
เราใช้จ่ายมากขึ้น..... แต่เรามีน้อยลง
เราซื้อมากขึ้น..... แต่เรามีความสุขกับของนั้นน้อยลง
เรามีบ้านที่ใหญ่มากขึ้น..... แต่มีครอบครัวที่เล็กลง

เราสะดวกสบายมากขึ้น..... แต่มีเวลาน้อยลง
เรามีการศึกษามากขึ้น..... แต่มีสามัญสำนึกน้อยลง
เรามีความรู้มากขึ้น..... แต่มีการตัดสินน้อยลง
เรามีผู้ชำนาญการมากขึ้น..... แต่ก็มีปัญหามากขึ้น
เรามียามากขึ้น..... แต่ความ”อยู่ดี”น้อยลง

เราเพิ่มพูนสิ่งที่เราเป็นเจ้าของ..... แต่ลดค่าของมันลงไป
เราพูดมาก..... แทบจะไม่ให้ความรัก และก็เกลียดกันบ่อยเกินไป
เราเรียนรู้ว่าจะหาเลี้ยงชีวิตอย่างไร..... แต่เราไม่ได้เรียนรู้ว่าชีวิตคืออะไร
เราทำให้การมีชีวิตยาวนานขึ้น..... แต่เราไม่ได้ใช้ชีวิตที่แท้จริง
เราเดินทางไปกลับถึงพระจันทร์..... แต่เรามีปัญหาแค่จะเดินข้ามถนนไปทำความรู้จักกับเพื่อนบ้าน

เราชนะปัจจัยภายนอก..... แต่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ภายใน
เราทำให้อากาศสะอาดขึ้น..... แต่เราทำให้วิญญาณของเราสกปรก
เราสลายอะตอม..... แต่ไม่ใช่ความลำเอียง
เรามีเงินเดือนมากขึ้น..... แต่ศีลธรรมน้อยลง
เรามีปริมาณมากขึ้น..... แต่คุณภาพน้อยลง

ยังมีช่วงเวลาของชายที่สูงใหญ่..... แต่ไม่มีลักษณะเฉพาะตัว
มีกำไรมากมาย..... แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับผู้คน
ยังมีช่วงเวลาที่โลกสงบสุข..... แต่ยังมีสงครามภายใน
มีกิจกรรมมากขึ้น..... แต่สนุกน้อยลง

มีอาหารหลากชนิดมากขึ้น..... แต่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร

ยังมีช่วงเวลาที่คนแต่งงานกันมากขึ้น..... แต่ก็มีการหย่าร้างกันมากขึ้น
มีบ้านที่สวยงาม..... แต่ก็มีบ้านแตกสาแหรกขาด
มันคือช่วงเวลาที่มีอะไรมากมายโชว์อยู่ตรงหน้าต่าง..... แต่ไม่มีอะไรอยู่ในห้องเก็บสต๊อกเลย

คือเวลาที่เทคโนโลยีสามารถนำจดหมายฉบับนี้มาสู่ท่านได้
และนี่ก็คือเวลาที่คุณจะเป็นผู้เลือกที่จะทำให้เกิดความแตกต่าง
หรือ...แค่กดปุ่ม”ลบทิ้ง” ส่งข้อความนี้ไปให้คนที่คุณห่วงใย

“สิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับผู้ที่มองโลกในแง่ดี”
ที่มา :Mail Forwarding

วิธีแก้เครียดเวลาถูกด่า







ที่มา :Mail Forwarding

LOVE STORIES FROM CHINA

Do you know WHAT LOVE IS ?..................READ BLW STORY
(คุณรู้ไหมคะว่า รักคืออะไร..........เชิญอ่านเรื่องราวด้านล่างเลยค่ะ)
An incredible love story has come out of China recently and managed to touch the world.
(เรื่องราวความรักอันเหลือเชื่อปรากฏขึ้นที่ประเทศจีนเมื่อเร็วๆ นี้ และได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก)
It is a story of a man and an older woman who ran off to live and love each other in peace for over half a century.
(เป็นเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งกับหญิงที่มีอายุมากกว่าผู้ซึ่งหลีกหนีความมีชีวิต และรักกันอย่างสงบสุขกว่าครึ่งศตวรรษ)


The 70-year-old Chinese man who hand-carved over 6,000 stairs up a mountain for his 80-year-old wife has passed away in the cave which has been the couple's home for the last 50 years.
(ชายอายุ 70 ปี ผู้ซึ่งสลักหินเป็นบันไดด้วยมือ มากกว่า 6,000 ขั้น ปีนภูเขาไปหาคู่รักอายุ 80 ปี ซึ่งจากเขาไปแล้ว เพื่อไปยังถ้ำซึ่งเป็นรังรักของพวกเขามากว่า50 ปี)

Over 50 years ago, Liu Guojiang a 19 year-old boy, fell in love with a 29 year-old widowed mother named Xu Chaoqin..

(เมื่อ 50 กว่าปีที่แล้ว หลิว โกวเจียง ชายหนุ่มวัย 19 ตกหลุมรักแม่หม้ายลูกติดนาม ซู เฉากวิน)



In a twist worthy of Shakespeare's Romeo and Juliet, friends and relatives criticized the relationship because of the age



difference and the fact that Xu already had children.

At that time, it was unacceptable and immoral for a young man to love an older woman.. To avoid the market gossip and the scorn of their communities, the couple decided to elope and lived in a cave in Jiangjin County in Southern ChongQing Municipality.

(ดังนิยายโรมิโอกับจูเลียตอันเลื่องชื่อของเชคเปีย ผองเพื่อนและญาติๆ กล่าวขวัญถือความสัมพันธ์ อันเนื่องจากความต่างของวัย กับความจริงที่ว่า ซู มีลูกแล้ว ในขณะนั้น เป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมและรับไม่ได้ ที่ชายหนุ่มจะรักกับผู้หญิงที่แก่กว่า เพื่อหลีกหนีพวกปากตลาดและการดูถูกของสังคม ทั้งคู่ตัดสินใจพากันหนีและอาศัยอยู่ในถ้ำที่ เจียงจิน เมืองชนบททางตอนใต้ของเขตปกครองตนเอง ชงควิน)

In the beginning, life was harsh as hey had nothing, no electricity or even food. They had to eat grass and roots they found in the mountain, and Liu made a kerosene lamp that they used to light up their lives.

(ช่วงเริ่มต้น ชีวิตไม่มีอะไร ไม่มีไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งอาหาร ทั้งคู่กินหญ้าและพืชหัวที่พบแถวๆ ภูเขา และหลิวก็ได้ประดิษฐ์ตะเกียงน้ำมันก๊าดเพื่อให้แสงสว่าง รวมทั้งนำทางชีวิต)


Xu felt that she had tied Liu down and repeatedly asked him, 'Are you regretful? Liu always replied, 'As long as we are industrious, life will improve.'
(ซูรู้สึกว่าเข้าผูกมัดหลิว จำกัดอิสระภาพของหลิว เธอถามคำถามซ้ำๆ กับหลิวว่า 'หลิว เธอเสียใจมั้ย' 'ตราบเท่าที่เราขยัน ชีวิตเราจะดีขึ้น' คือคำตอบที่ออกจากปากของหลิวเสมอเมื่อเจอคำถาม)

In the second year of living in the mountain, Liu began and continued for over 50 years, to hand-carve the steps so that his wife could get down the mountain easily.

(ในปีที่สองของชีวิตบนภูเขา หลิวเริ่มแกะสลักบันได และทำอย่างนั้นต่อเนื่องมากว่า 50 ปี เพื่อที่จะให้คู่ชีวิตของเขาลงจากภูเขาได้โดยง่าย)

Half a century later in 2001, a group of adventurers were exploring the forest and were surprised to find the elderly couple and the over 6,000 hand-carved steps. Liu MingSheng, one of their seven children said, 'My parents loved each other so much, they have lived in seclusion for over 50 years and never been apart a single day. He hand carved more than 6,000 steps over the years for my mother's convenience, although she doesn't go down the mountain that much.'

(ครึ่งศตวรรษต่อมา – ปี 2001 นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งได้ค้นพบป่าและต้องประหลาดใจที่พบคู่รักวัยชรา และบันไดที่สลักด้วยมือกว่า 6,000 ขั้น หลิว หมิงเส็ง หนึ่งในลูกทั้งเจ็ดกล่าวว่า 'พ่อ-แม่ของเรารักกันมาก พวกเขาอาศัยอยู่อย่างสันโดษมากว่า 50 ปี และไม่เคยทิ้งกันแม้แต่วันเดียว บันไดที่สลักด้วยมือกว่า 6,000 ขั้นที่มานะทำขึ้นหลายปี เพื่อความสบายของแม่ แม้ว่าเธอจะไม่ได้ลงจากภูเขาบ่อยเช่นนั้น')




The couple had lived in peace for over 50 years until last week. Liu, now 72 years, returned from his daily farm work and collapsed. Xu sat and prayed with her husband as he passed away in her arms. So in love with Xu, was Liu, that no one was able to release the grip he had on his wife's hand even after he had passed away.

(คู่รักอาศัยอยู่อย่างสงบมากว่า 50 ปี กระทั่งสัปดาห์ที่แล้ว หลิว ชายวัย 72 ในวันนี้ กลับจากงานประจำวันที่ไร่จากนั้นก็ทรุดกายลง ซู นั่งและสวดมนต์กับสามี จากนั้น หลิวก็จากไปภายในอ้อมกอดของภรรยา ดังที่เห็นความรักของหลิวที่มีต่อซู ไม่มีใครสามารถแกะมือของเขาออกจากมือภรรยาได้ แม้กระทั่งหลังเขาตาย)



'You promised me you'll take care of me, you'll always be with me until the day I died, now you left before me, how am I going to live without you?'
(คุณสัญญาว่าจะดูแลฉัน คุณจะอยู่กับฉันเสมอจนถึงวันที่ฉันตาย แต่ตอนนี้คุณจากฉันไปก่อน ฉันจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีคุณ)

Xu spent days softly repeating this sentence and touching her husband's black coffin with tears rolling down her cheeks.
(ซูใช้เวลาหลายวัน พูดประโยคซ้ำๆ แผ่วๆ และสัมผัสโลงศพของสามี ด้วยน้ำตานองหน้า)

In 2006, their story became one of the top 10 love stories from China , collected by the Chinese Women Weekly. The local government has decided to preserve the love ladder and the place they lived as a museum, so this love story can live forever.

(ในปี 2006 เรื่องราวของพวกเขา กลายมาเป็นเรื่องรักติดอันดับทอปเท็น ในประเทศจีน ซึ่งรวบรวมโดย Chinese Women Weekly รัฐบาลท้องถิ่นตัดสินใจอนุรักษ์ บันไดแห่งความรักและรังรักของพวกเขาเป็นพิพิธภัณฑ์ ยังผล ให้เรื่องราวแห่งความรักนี้มีอยู่ตลอดไป)


ที่มา :Mail Forwarding

ใครเคยอกหัก ลองอ่านดูนะ

มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน
เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน
ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน
โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด
เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้ง งง และ เสียใจ มาก
ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น
ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา
เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู
เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า
หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต
ในบ้านมีคนป่วยใช่มั้ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย
ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้
ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย
เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่าอยากเข้ามา ก็เข้ามา!

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า
ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง
สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ
เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น
หลวงตายิ้มแล้วพูดว่าอาการหนักเลยนะ
ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด
หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า โทรมมากเลยนะ
ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ
ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน
เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป
กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา
ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น
เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด
เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพนั้น
เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป
พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา
เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่า เป็นศพ
ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด
เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆกอบทรายขึ้นมา
เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร
จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น
และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ
พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2
แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม
ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ
ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ
จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน

เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก
หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว
ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด

^_^ คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง ,
ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย
ที่มา :Mail Forwarding

นิทาน เรื่องหมาขี้เรื้อน

ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอกยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อนเพื่อเห็นแก่แม่..

บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้วผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภาคอีสาน
พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบายเมื่อมาอยู่วัดป่า กว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือนแต่ก็นั่นแหละ กว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆ กัน

ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิดและชอบอวดรู้ ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน
ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง
เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัยไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่าท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา
ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้ โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดีว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูงมีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้นผิวพรรณก็ดูสะอาด สะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมดมองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตูนึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ
กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทินนับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่ออยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอนการบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง

เห็นแล้ว เลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัยรวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง
เพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้วไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูกอีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่

เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้นและแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเองควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำหลวงพ่อเจ้าอาวาส มานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วยท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียนอ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งจากใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ
เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน คันไปทั้งตัวฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวันเดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคันแต่พวกเธอรู้ไหมเจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจหาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน

เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่ แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหากพูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่าได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตร สวดมนต์เย็น แล้ว

ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้นในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบแต่ในวุ่นวาย นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนจากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อยจากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนจากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง
เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก "อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า หมาขี้เรื้อนของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ

ที่มา :Mail Forwarding

เธอชื่อ "Kim Fhuc"


เธอ ชื่อ ' คิม ฟุค '
(Kim Phuc is Her Name)
แปลว่า 'ความสุขดุจทองคำ'
(Golden Happiness)


เบื้องหน้าของ คิม ฟุค

เบื้องหลังของ คิม ฟุค

เบื้องหลังผ่าตัดแล้ว ๑๗ ครั้ง ขณะที่ลูกพี่ลูกน้อง ๒ คนตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว


เธอเกิดที่ Trang Bang ตะวันตกเฉียงเหนือกรุงไซ่ง่อนในเวียตนามใต้ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๖


เวลา บ่าย ๒ โมง วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๑๕ ระเบิดไฟนาปาล์ม ๔ ลูก ถูกทิ้งลงที่บ้านเธอ




ขณะนั้น คิม ฟุค มีอายุ ๙ ขวบ ระเบิดเพลิงตกใส่เธอ เธอถอดเสื้อผ้าที่ไฟกำลังลุกออกแต่ไฟยังคงไหม้บนตัวเธอ


ผู้คนช่วย ราดน้ำบนตัวเธอ เพื่อดับไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่บนตัวเธอ จนเธอหมดสติไป


Huynh Cong (Nick) Ut ช่างภาพ ช่วยพาเธอส่งโรงพยาบาล คอยให้กำลังใจ และจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือ

ภาพของเธอ ที่ Nick Ut ถ่ายไว้ ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกและได้รับรางวัล Pulitzer ในปีถัดมาคือ พ.ศ. ๒๕๑๖


ด้วยรางวัลดังกล่าวช่วยเปลี่ยนชีวิตของเธอและ Nick Ut แต่เธอต้องทนทุกข์ทรมานจากบาดแผล
ไฟไหม้กว่าครึ่งตัว หมอศัลยกรรมพลาสติค Dr. Mark Gorney จาก San Francisco
อาสาสมัครประจำอยู่ที่ โรงพยาบาลศัลยกรรมเด็ก Barksy ในกรุงไซ่ง่อนกล่าวว่า 'เธอไม่น่าจะ
อยู่รอดได้ ตอนแรกคางของเธอเชื่อมติดกับหน้าอกโดยเนื้อเยื่อจากแผลเป็นแขนซ้ายของเธอไหม้
จนถึงกระดูก' ด้วยความรักของแม่ที่คอยดูแลอยู่ข้างเตียง เธอค่อย ๆ ฟื้นตัวและตัดสินใจว่าโตขึ้น
เธอจะเป็นหมอเหมือนผู้ที่ช่วยชีวิตเธอ หลังจากรักษาตัวอยู่ ๒ ปีเธอจึงได้กลับบ้านและเวียตนาม
ใต้ก็ถูกปกครองโดยคอมมิวนิสต์ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ชื่อของกรุงไซ่ง่อนถูกเปลี่ยนเป็นโฮจิมินห์


๒๑ ปีต่อมา พ.ศ. ๒๕๓๙
คิม ฟุค ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าชาวอเมริกัน ซึ่งเคยผ่านสมรภูมิเวียดนาม เธอได้รับเชิญให้มาพูด
เนื่องในวันทหารผ่านศึก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.


เธอได้มาเผชิญหน้ากับบุคคล ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ทำให้
ญาติพี่น้องของเธอต้องตาย และเกือบฆ่าเธอให้ตายไปด้วยนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำใจได้ง่าย
แต่เธอมาก็เพื่อจะบอกให้พวกเรารู้ว่า สงครามนั้นได้ก่อความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนอย่างไรบ้าง


คิม ฟุค เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของเธอแล้วเธอก็ได้เผยความใน
ใจว่ามีเรื่องหนึ่งที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้าน
ของเธอ


พูดมาถึงตรงนี้ ก็มีคนส่งข้อความมาบอกว่า คนที่เธอต้องการพบ
กำลังนั่งอยู่ ในห้องประชุมนี้
เธอจึงเผยความในใจ ออกมาว่า
'ฉันอยากบอกเขาว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้
แต่เราควรพยายามทำสิ่งดี ๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพ ทั้งใ นปัจุบัน
และอนาคต'

เมื่อเธอบรรยายเสร็จ ลงมาจากเวที อดีตนักบินที่เกือบฆ่าเธอก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ เขามิใช่ทหาร
อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง


เขาพูด ด้วยสีหน้าเจ็บปวด ว่า
'ผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ'

คิม เข้าไป โอบกอดเขา แล้วตอบว่า
'ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย'


ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะให้อภัย โดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายเรา
ปางตาย คิมฟุคเล่าว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความทุกข์ทรมาน
แก่เธอทั้งกายและทั้งใจ จนเธอเอง ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
ได้อย่างไร


แต่แล้ว เธอก็พบว่า สิ่งที่ทำร้ายเธอจริงๆ มิใช่ใครที่ไหน หาก
ได้แก่ความเกลียดชังที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง


' ฉันพบว่า การบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้ สามารถฆ่าฉันได้ '

เธอพยายามสวดมนต์ และแผ่เมตตาให้ศัตรู และแก่คนที่ก่อความทุกข์ให้เธอ
แล้วเธอก็พบว่า
'หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ฉันสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเกลียด'
เราไม่อาจควบคุมกำกับผู้คน ให้ทำดี หรือไม่ทำชั่วกับเราได้
แต่เราสามารถควบคุมกำกับจิตใจของเราได้

เราไม่อาจเลือกได้ว่า รอบตัวเราต้องมีแต่คนน่ารัก พูดจาอ่อนหวาน
แต่เราสามาร?เลือกได้ว่า จะทำใจอย่างไร เมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา
คิมฟุค ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า
'ฉันน่าจะโกรธ แต่ฉันเลือกอีกทางหนึ่ง แล้วชีวิตฉันก็ดีขึ้น'

บทเรียนของคิมฟุค คือ
ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ เราจึงไม่ควรปักใจอยู่กับอดีต
แต่เราสามารถเรียนรู้จากอดีตเพื่อทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีขึ้นได้
บทเรียนจากอดีตอย่างหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้มาก็คือ
การอยู่กับความโกรธ เกลียด และความขมขื่น นั้น
ทำให้เธอเห็นคุณค่าของการ ให้ อภัย.
ที่มา :Mail Forwarding

น้ำผึ้งในช้อนกาแฟ













เรื่องและภาพโดย : กะว่าก๋า
ที่มา : Mail Forwarding

ถ้าคุณท้อ..ลองอ่านดูนะ



ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา...
จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว
ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร
แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ


ถ้าโกรธกับเพื่อน. . . มองคนไม่มีใครรัก
ถ้าเรียนหนัก ๆ . . . มองคนอดเรียนหนังสือ
ถ้างานลำบาก . . . มองคนอดแสดงฝีมือ
ถ้าเหนื่อยงั้นหรือ . . . มองคนที่ตายหมดลม

ถ้าขี้เกียจนัก . . . มองคนไม่มีโอกาส
ถ้างานผิดพลาด . . . มองคนไม่เคยฝึกฝน
ถ้ากายพิการ . . . มองคนไม่เคยอดทน
ถ้างานรีบรน . . . มองคนไม่มีเวลา

ถ้าตังค์ไม่มี . . . มองคนขอทานข้างถนน
ถ้าหนี้สินล้น . . . มองคนแย่งกินกับหมา
ถ้าข้าวไม่ดี . . . มองคนไม่มีที่นา
ถ้าชีวิตแย่ . . .มองคนที่แย่ยิ่งกว่า

อย่ามองแต่ฟ้า . . .ที่สูงเกินตาประจักษ์
ความสุขข้างล่าง . . . มีได้ไม่ยากเย็นนัก
เมื่อรู้แล้ว . . . จัก . . . ภาคภูมิชีวิตแห่งตน

ที่มา :Mail Forwarding

ลิงกับลา

หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม
> ด้วยความเหงานางจึงหา
> สัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว
>
> คือ ลิงและลา
> วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร
> ก่อนออกจาก
> บ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง
>
> แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง
> เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดิน
> ย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ
> ได้รับความเสียหาย
>
> ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป
> ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็น
> คุณลักษณะประจำตัวก็ค่อยๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน
> อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย
> หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้น
>
> ห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าว
> ของต่างๆ
> ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว
> อีกทั้งยังซุกซนรื้อ
> ค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี
> ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการ
> กระทำของเจ้าลิงอยู่เฉยๆ

> สักครู่หนึ่ง
> หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด
> เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของ
> เดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่าง
>
> ก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้
> อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง
>
> ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูก
> รื้อค้น
> กระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะ
>
> ขึ้นทันที
> หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง
> และเห็นว่าลาไม่มีเชือก
> ผูกขาดังเดิม
> เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เอง
>
> คือตัวปัญหา
> ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ
> ดังนั้นหญิงชาวบ้าน
> จึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมา
>
> ทุบตีลาอย่างรุนแรง
> ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บ
> ปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำ
> อะไรได้เลย
>
> เธอทั้งหลาย...
>
> เธอหลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก
> เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่
> ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของ
>
> ทำโทษจนตาย
> ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ
> กลับรอดพ้น
> และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ
> แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้
>
> ต้องการชี้ให้เห็นถึง
> ความเป็นผู้นำ
> ของหญิงชาวบ้านที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้
> ถ่องแท้
> เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไป
>
> ตามความรู้สึกและประสพการณ์ส่วนตัว
>
> เธอมองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นลาที่
> หลุดออกมาจากเชือก
> แล้วตัดสินว่า
> ลาคงเป็นผู้กระทำ
> แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก
> และไม่มีนิสัยชอบ
> รื้อทำลาย
> เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่
>
> ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ
> แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัย
> ชอบรื้อทำลายนั้นคือ
> ลิง
> ความจริงถ้าเธอรู้จัก
>
> สำรวจร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย
> เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไป
> ทั่วห้อง
> แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลย
>
> เพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน
>
> เหตุที่องค์กรของเราต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความสะเพร่า
> ของผู้นำ ที่ "ปล่อยให้ลิงสร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์"
> ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่
> แต่
> ไม่ค่อยมีปากมีเสียง
> พูดจา
> ตรงไปตรงมาแต่ไร้เลห์เหลี่ยม
>
> ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง
> พูดมาก
> พรีเซ็นต์เก่ง
> อ้างอิงตำราได้สารพัด
>
> แต่ไม่เคยทำงานจริง
> นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็
> ไม่มีทางรู้
>
> ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย
>
> นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม
> รู้จักยอมเสียสละตน
> สละเวลา
> อีกเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริงเพื่อควบคุมเจ้าลิง
> เพราะไม่เช่นนั้น
> องค์กรก็จะ
> ทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
>
> ถ้าลิงสงบได้องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วย
ที่มา :Mail Forwarding

คำพูดดี ๆ ที่อยากมอบให้ by วินทร์















ที่มา :Mail Forwarding