30 กันยายน, 2552

อยากให้อ่าน


ไม่สำคัญว่า....จะมีทรัพย์มากหรือน้อย
แต่สิ่งสำคัญ คือ....ต้องใช้ให้น้อยต่างหาก

ชีวิตจึงจะมีเหลือมากกว่าขาด
คนจนยิ่งจน....เพราะทำรวย
คนรวยยิ่งรวย....เพราะทำจน

ทำตัวให้เป็นปรกติ....ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น
ชีวิตก็จะปรกติ

ไม่ยินดีในสิ่งที่ตนได้
ไม่พอใจในสิ่งที่ตนมี
เป็นคนอาภัพที่สุดในโลก

ยินดีในสิ่งที่ตนได้
พอใจในสิ่งที่ตนมี
เป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก

อดทนได้....จงอดทน
อดใจได้....จงอดใจ

ไม่อดทน....ไม่อดใจ
เรื่องเล็กจักกลายเป็นเรื่องใหญ่

คนที่มีความสุข.... มิใช่คนที่มีมากที่สุด
แต่เป็นคนที่ต้องการน้อยที่สุด

ยิ่งมีความต้องการน้อยลง
สมบัติที่มีอยู่เดิม....ก็ดูเหมือนมีมากขึ้น

ความสุขหรือความทุกข์ของชีวิต
บางครั้งเหมือนการมองผ่านกระจก

หากกระจกใสสะอาด....เมื่อมองสิ่งใดย่อมมีแต่ความสุข
ปราศจากความขุ่นมัว

หากกระจกข่นมัวเมื่อมองสิ่งใด....แม้เป็นสิ่งเดียวกัน
ก็มีแต่ความทุกข์ใจ

จงจำไว้ว่า....ความสุขอยู่ไม่ไกล เพียงเช็ดกระจกให้ใส
เช็ดใจให้สะอาดเท่านั้นเอง

ทุกข์อยู่ที่ใจ....ทุกข์ของใครก็ของมัน
ทุกข์อยู่ที่ใจ....ใครจะเก็บไว้ก็ช่างมัน

สุขอยู่ที่ใจ....ฉันเก็บมันไว้ทุกวัน
สุขอยู่ที่ใจ....ฉันจะให้กันและกัน

ที่มา :Mail Forwarding :iraygod@gmail.com

สิ่งมีค่าที่แท้จริง


สิ่งมีค่าที่...แท้จริง
ไม่ได้อยู่ที่....การมองเห็น...หากอยู่ที่...สิ่งที่เรา...มองไม่เห็น
เช้าวันหนึ่ง..ที่โรงพยาบาล...
"ขอให้ชั้นดูหน้าลูกหน่อย..ได้มั๊ยคะ" คุณแม่คนใหม่เอ่ยขึ้น..
เมื่อห่อผ้าน้อย ๆ ..อยู่ในอ้อมกอดเธอ เธอค่อย ๆ คลี่ผ้าที่ห่อออก..
เพื่อมองใบหน้าเล็ก ๆ ..
กรี๊ดดดด.....เธอกรีดร้อง หมอต้องอุ้มเด็ก..ออกไปอย่างรวดเร็ว !!!!

**เด็กทารกที่เกิดมา...ไม่มีใบหู**

และแล้ว....กาลเวลาพิสูจน์ว่า
การได้ยินของเจ้าหนู..ไม่มีปัญหา
ปัญหา..มีเฉพาะสิ่งที่มองเห็นภายนอก คือ....ใบหูที่หายไป
หลายครั้ง..ที่เจ้าหนูกลับจากโรงเรียน แล้ววิ่งมาบอกแม่
เธอรู้ว่า..หัวใจลูกปวดร้าวแค่ไหน...
เจ้าหนูพูดโพล่งออกมา..อย่างน่าเศร้า
"พวกเด็กตัวโต ..พวกมันล้อผมว่า .. --ตัวประหลาด--"
จนกระทั่ง...
เจ้าหนูเติบโตขึ้น..หล่อเหลา.. เป็นที่รักของเพื่อน ๆ
*----*

เค้ามีพรสวรรค์.. ในด้านอักษรศาสตร์..
วรรณคดี..และดนตรี.. เค้าอาจได้เป็นหัวหน้าชั้น ...
แต่เพราะเจ้าสิ่งนั้น. ทำให้เค้า..ไม่อยากเจอใคร
"ลูกต้องพบปะกับผู้คนบ้างนะลูก"
แม่กล่าว..ด้วยความสงสารลูก
พ่อของเด็กชาย.. ปรึกษากับหมอประจำครอบครัว
และได้รับข่าวดีจากหมอว่า...
"ผมสามารถปลูกถ่ายใบหูได้ครับ ถ้ามีผู้บริจาค..แต่ใครล่ะจะเสียสละใบหู..เพื่อเด็กน้อยคนนี้" คุณหมอกล่าว
2 ปีผ่านไป พ่อบอกกับลูกชาย..
"ลูกเตรียมตัวไปโรงพยาบาลนะ พ่อกับแม่..หาคนบริจาคใบหู
ที่ลูกต้องการได้แล้ว... แต่นี่เป็นความลับ"
การผ่าตัด..สำเร็จด้วยดี
และแล้ว...คนคนใหม่ก็เกิดขึ้น
....เค้ากลายเป็น..ผู้มีพรสวรรค์... เป็นอัจฉริยะในโรงเรียน...ในวิทยาลัย

จนเป็นที่กล่าวขานกัน..รุ่นต่อรุ่น

ต่อมาได้แต่งงาน... และทำงาน.. เป็นข้าราชการในสถานทูต....
วันหนึ่ง.. ชายหนุ่มถามผู้เป็นพ่อว่า..
"พ่อครับ.. ใครเป็นคนมอบใบหูให้ผมมา ใครช่างให้ผมได้มากมาย
แต่ผมไม่เคยทำอะไร.. เพื่อเค้าได้เลยสักนิด
"พ่อไม่เชื่อว่า ลูกจะตอบแทนเค้าได้หมดหรอก.. เรื่องนี้..เป็นความลับ
เราตกลงกันแล้ว" พ่อตอบ..~~!!!หลายปีผ่านไป.... มันยังคงเป็นความลับ!!!~~และแล้ว..วันนึง.. วันที่มืดมิดที่สุด.. ผ่านเข้ามา..ในชีวิตของลูกชาย

แม่เค้าได้เสียชีวิตลง
เค้ายืนข้าง ๆ พ่อ... ใกล้บศพของแม่
พ่อเรียกเค้า

"มานี่สิลูก..มานั่งใกล้ ๆ นี่" พ่อลูบผมแม่อย่างช้า ๆ..และนุ่มนวล
ผมสีน้ำตาลแดง..ถูกเสยขึ้น จนมองเห็นใบหน้า.. ที่มองดูเหมือนคนนอนหลับ
...และแล้ว.. สิ่งที่ทำให้ลูกชาย..ถึงกับต้องตะลึง.. ...ใบหูของแม่...หายไป!..!!!!!!!

แม่ไม่มีใบหู... "นี่เป็นคำตอบ.. ที่ลูกอยากรู้มาตลอดชีวิต"...
พ่อกระซิบผ่านลูกชาย
"แม่บอกพ่อว่า..เธอดีใจ.. ที่ได้ทำอย่างนี้..ตั้งแต่วันผ่าตัด..
แม่ไม่เคยตัดผมอีกเลย.. ไม่มีใคร..มองเห็นว่า.. เธอไม่สวยจริงมั๊ย?

จงจำไว้

สิ่งมีค่า . . . ที่แท้จริง
ไม่ได้อยู่ที่ . . . “การมองเห็น”
หากแต่อยู่ในที่ . . . ที่เรามองไม่เห็น

ความรัก . . . ที่แท้จริง
ไม่ได้อยู่ที่ . . . เราได้ทำอะไร แล้วมีคนรับรู้
หากแต่อยู่ที่ . . . เรากระทำแล้ว . . . ไม่มีใครรับรู้

ถ้าพรุ่งนี้ . . . เราตายไป
บริษัท สามารถหาคนมาแทนเราได้ ภายในไม่กี่วัน
แต่ครอบครัวเรา . . .
ต้องสูญเสียและคิดถึงเรา . . . ไปตลอด

เราได้ใช้ชีวิต . . . กับการทำงาน
มากกว่าครอบครัว . . . หรือเปล่า?
ถ้ามากกว่า . . .ก็เป็นการลงทุนที่ไม่ฉลาดเลยจริง ๆ

ลองหันกลับหลัง . . .
มองคนที่เป็นห่วงเป็นใยเราบ้าง
เพราะหากถึงวันที่ เราหรือเขาจากไป. . .
จะได้ไม่เสียใจ กับสิ่งที่เราไม่เคยทำอะไรให้เขาเลย

ที่มา :Mail Forwarding :เพื่อนอุ๋ม

25 กันยายน, 2552

Personality Development Notes.


อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับใครในโลกนี้
ถ้าคุณเปรียบเทียบ, คุณกำลังดูถูกตนเอง

ไม่มีใครสร้างล็อคที่ไม่มีกุญแจ
เช่นเดียวกัน พระเจ้าจะไม่สร้างปัญหาที่ไม่มีทางแก้ไข

ชีวิตหัวเราะเยาะคุณ ในยามที่คุณเป็นทุกข์...
ชีวิตยิ้มให้กับคุณ ในยามที่คุณมีความสุข...ชีวิตสรรเสริญคุณ
ในยามที่คุณทำให้ผู้อื่นมีความสุข...

คนที่ประสบความสำเร็จทุกคน เคยพบเรื่องราวที่เจ็บปวด
เรื่องราวที่เจ็บปวดทุกเรื่อง มีตอนจบที่มีความสุข
ยอมรับความเจ็บปวดนั้นและ เตรียมตัวสำหรับความสำเร็จ

เป็นเรื่องง่ายที่จะตัดสินความผิดของผู้อื่น
เป็นเรื่องยากที่จะค้นพบความผิดของตนเอง
มันง่ายกว่าที่จะปกป้องเท้าของเราโดยการใส่รองเท้า
แทนที่จะคลุมทั้งโลกนี้ด้วยพรม

ไม่มีใครสามารถย้อนกลับไป
แก้ไขจุดเริ่มต้นที่ไม่ดีได้
แต่ทุกคนสามารถเริ่มต้นในตอนนี้
ที่จะสร้างตอนจบที่มีความสุขได้

ถ้าปัญหาสามารถแก้ไขได้
ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปกังวลกับมัน
ถ้าปัญหาไม่สามารถแก้ไขได้
แล้วกังวลไปจะได้ประโยชน์อะไร?

ถ้าคุณพลาดโอกาสสักอย่างไป
อย่าไปร้องไห้เสียใจกับมัน
น้ำตาจะบดบังโอกาสที่ดีกว่า
ที่อยู่ข้างหน้าคุณ

"Changing the Face" (เปลี่ยนสีหน้า) ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
แต่ "Facing the Change" (เผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง) สามารถเปลี่ยนได้ทุกอย่าง
อย่าบ่นเกี่ยวกับผู้อื่น
เปลี่ยนแปลงตนเอง ถ้าคุณต้องการความสงบ

ความผิดพลาดมักจะเจ็บปวดเมื่อมันเกิดขึ้น
แต่ความผิดพลาดที่สะสมมาเป็นเวลานาน
เรียกว่า “ประสบการณ์” ซึ่งเป็นหนทางสู่ความสำเร็จ

ให้กล้าหาญเมื่อคุณพ่ายแพ้
ให้สงบเมื่อคุณชนะ

ทองที่ถูกหลอม กลายมาเป็นเครื่องประดับ
ทองแดงที่ถูกตี กลายมาเป็นลวด
หินที่ถูกแกะสลัก กลายมาเป็นรูปปั้น
ยิ่งเราพบความเจ็บปวดมากเท่าไหร่
ชีวิตเราจะมีคุณค่ามากขึ้นเท่านั้น
ที่มา: Mail Forwarding อ.วนิดา

มหัศจรรย์แห่งชีวิต ๗ หลักคิดจาก ว.วชิรเมธี


๑. กลัวลูกมีเซ็กส์ในวัยเรียน?
ไม่อยากให้เกิด ต้องเอาปัญญาใส่ในมือลูก
ให้เงินลูกน้อยๆ ให้ความรู้แก่ลูกมากๆ ด่าลูกน้อยๆ ให้คำสอนลูกมากๆ

๒. ไหว้พระขอพรอะไรดี?
(๑) ขออย่าให้โลภจนหน้ามืด
(๒) ขออย่าให้โกรธจนทำร้ายตัวเอง
(๓) ขออย่าให้หลงจนไม่รู้ดีรู้ชั่ว
(๔) ขออย่าให้ตายในสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันเอง

๓. ท้อแท้กับปัญหามากมายทำอย่างไรดี?
ปลาที่ยังเป็นอยู่ ล้วนเรียนรู้ที่จะว่ายทวนน้ำ
ส่วนปลาตาย มักไหลตามน้ำ
ปัญหาทำให้คนธรรมดาท้อ แต่ทำให้คนมีปัญญาลุกขึ้นมาแก้ไข

๔. ทะเลาะกับแฟนจนไม่มีสมาธิทำงาน?
งานส่วนงาน แฟนส่วนแฟน
รู้จักแบ่งเวลาให้งาน รู้จักแบ่งเวลาให้แฟน
อย่าเสียงานเพราะแฟน อย่าเสียแฟนเพราะงาน

๕. โกรธ! ถูกเพื่อนนินทา?
โบราณว่าไม่มีใครเตะหมาที่ตายแล้ว
คุณถูกนินทาแสดงว่าคุณยังมีความหมาย
คุณเป็นคนโชคดี จู่ๆ ก็มีกระจกวิเศษสะท้อนความอัปลักษณ์
ให้เห็นความบกพร่องของตัวเอง

๖. จับได้ว่าแฟนมีกิ๊กทำอย่างไรดี?
(๑) ถามตัวเองว่าเราดีกับเขาพอหรือยัง
(๒) ระหว่างเรากับกิ๊กมีข้อดีข้อด้อยต่างกันตรงไหน
(๓) ถามแฟนว่าจะเลือกใครก็รีบทำ
ไม่รักฉัน อย่าทำให้ฉันเสียเวลา

๗. โดนเพื่อนร่วมงานแย่งซีนทำอย่างไร?
เขาแย่งจากเราได้เพียงแค่ซีนและภาพลักษณ์เท่านั้น
แต่เขาไม่สามารถแย่งความรู้และความสามารถไปจากเราได้

๘. งานเยอะมากทำอย่างไรดี?
(๑) รู้ว่างานเยอะต้องรีบทำ
(๒) อย่าดองงานข้ามปีข้ามชาติ
(๓) เรียงลำดับความสำคัญของงาน
สำคัญก่อนให้รีบทำ สำคัญน้อยค่อยทยอยทำ

๙. ทำงานดี มีแต่คนริษยา จะรับมืออย่างไร?
โบราณว่า ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี
คนทำงานดีจึงมีคนริษยา ปรากฏการณ์เช่นว่านี้
เป็นของธรรมดา ทำงานดีจนมีคนริษยา
ยังดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนที่คอยริษยา

๑๐. ทำงานแทบตาย เงินไม่พอใช้ ทำอย่างไรดี?
(๑) หางานใหม่
(๒) ลดความต้องการให้น้อยลง อยู่กับความจริงให้มาก
(๓) บริโภคปัจจัยสี่โดยมุ่งประโยชน์ อย่ามุ่งประดับ
(๔) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย รับมากกว่าจ่ายจึงนับว่ายอด
จ่ายมากกว่ารับนับว่าแย่

๑๑. ถูกนายด่า อารมณ์เสีย?
คนที่ด่าคนอื่นสะท้อนว่าระบบข้างใจกำลังพัง
คนอารมณ์เสียเพราะถูกด่า
แสดงว่าระบบของตัวเองก็พังตามไปด้วย

๑๒. ไถ่ชีวิตโคได้บุญมากไหม?
ถ้าไถ่แล้วโคอยู่รอด คุณได้บุญ
แต่หากไถ่เพื่อทำให้วัดอยู่รอด คุณได้บาป
แทนที่จะไถ่โคกระบือ
คุณควรไถ่ตัวเองให้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง ดีกว่า

๑๓. แฟนติดหนังเกาหลี ดูทั้งคืนไม่ยอมนอน?
ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเธอยังนั่งดูอยู่ในบ้าน
ถึงเธอจะติดหนังเกาหลี ก็ยังดีกว่าติดผู้ชายขี้หลีที่อยู่นอกบ้าน

๑๔. ลูกค้าจู้จี้ทำอย่างไรดี?
มีลูกค้าจู้จี้ยังดีกว่าวันทั้งวันไม่มีใครแวะเวียน
ผ่านมาเยี่ยมเยียนถึงในร้าน
ลูกค้าจู้จี้ได้ แต่คุณต้องทำให้เขาประทับใจเอาไว้เสมอ

๑๕. ไปงานวันเกิดควรได้อะไร?
(๑) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
(๒) ได้ถามตัวเองว่า เราเกิดมาจากใคร
(๓) ได้ถามตัวเองว่า เรากตัญญูต่อผู้ให้กำเนิดแล้วหรือยัง

๑๖. สวดมนต์บทไหนดี?
(๑) สวดพุทธคุณเพื่อเตือนว่า จงเป็นผู้ตื่น
(๒) สวดธรรมคุณเพื่อเตือนว่า
จงเว้นสิ่งที่ควรเว้น จงทำสิ่งที่ควรทำ
(๓) สวดสังฆคุณเพื่อเตือนว่า พระอรหันต์ที่แท้
คือพ่อกับแม่ที่อยู่ในบ้านของเรานั่นเอง

๑๗. สามีไม่สนใจธรรมะเลยทำอย่างไรดี?
(๑) เราควรมีธรรมะให้เขาดู
(๒) เราควรอยู่ให้เขาเห็น
(๓) เราควรสงบเย็นให้เขาได้สัมผัส
เนื่องเพราะ หนึ่งการกระทำสำคัญกว่าพันคำพูด

๑๘. โดนขับรถปาดหน้า โมโหมาก?
(๑) บอกตัวเองว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ด่าคือมาร ระรานคือบาป
(๒) เปลี่ยนการด่าเป็นการแผ่เมตตาให้เขาถึงที่หมายโดยปลอดภัย
(๓) เตือนตนไว้ว่า อย่าขับรถปาดหน้าใคร เพราะอาจมีอันตรายรอบด้าน

๑๙. อยู่ในกลุ่มเพื่อนชอบนินทาจะตีจากดีไหม?
ท่านพุทธทาสกล่าวว่า คนชอบนินทาคือคนที่ชอบกินของเน่า
ถ้าเราร่วมผสมโรงไปกับเขา แสดงว่าเราเองก็ชอบกินของเน่าไม่เบาเหมือนกัน

๒๐. ทำไมมักเจอสิ่งที่ไม่ชอบใจอยู่เสมอ?
ผู้รู้บอกว่า ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูดีๆ ยังมีศิลป์
ดังนั้น ในสิ่งที่คุณไม่ชอบ ย่อมมีแง่มุมที่คุณชอบอย่างแน่นอน
มองอย่าง=B

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม http://www.tamdee.net/db/forum_posts.asp?TID=1177

DHARMA Delivery


อ่านไปและคิดตามไป จะดีที่สุด หากนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน
ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน
ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ
คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวัน
ก็ยังโง่เท่าเดิม

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ

ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่
ขอบคุณความป่วยไข้ ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ
ขอบคุณความทุกข์ที่ ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน

ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ
เจริญพร

ที่มา : ว วชิรเมธี

Lifebook/ตำราแห่งชีวิต


พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้...บอกว่าเป็น “สูตรแห่งชีวิตประจำวัน” ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ...ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ
เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น “ตำราแห่งชีวิต” ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหาและคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง
ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้, เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไรให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุนสมควรจะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง
สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
๑. ดื่มน้ำให้มาก
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น, ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยงและตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
๓. กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔. ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะกวด, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม

นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส, แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้
วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้
๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร

แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด

และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้งไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและธรรมะย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงานด้วย
...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณกุศลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?
ที่มา : Mail Forwarding จากคุณวาสนา จันทร์แจ่มใส

21 กันยายน, 2552

วันแม่

วันแม่ 12 สิงหาคม 2552

เรียน ท่านที่เคารพนับถือทุกท่านครับ
ความจริงทุกท่านมี "แม่" ทุกๆท่าน ขณะที่แม่และท่านมีชีวิตอยู่ เราควรรำลึกถึงให้มากที่สุด และปฏิบัติกิจกรรมให้ท่านตามสมควรแห่งฐานะ ไม่ต้องรอตอนท่านเสียชีวิตที่ถึงแก่กรรมแล้ว ท่านโชคดีที่หลายท่านยังมีคุณแม่ของท่านมีชีวิตอยู่ หากท่านเคยคิดล่วงเกินและกระทำกรรมด้วย กาย วาจา ใจ
ขอได้โปรดไปกราบขออโหสิกรรม ขอขมากรรม แล้วล้างเท้าท่านด้วยความเคารพรัก ท่านจะให้อภัยเสมอ (กระผมนำน้ำนั้นมาอาบและผสมน้ำดื่ม วันนี้ก็ยังเก็บไว้บูชาเสมอ)
ที่กระผมเขียนมานี้เพื่อให้ท่านทั้งหลายใคร่ครวญให้ดีครับ กระผมดำเนินการเช่นนี้มาโดยตลอดตราบที่คุณแม่ของกระผมขณะมีชีวิตอยู่ แม้นกระทั่งวันที่ท่านจะสูญเสียชีวิต กระผมไปปฏิบัติงานที่โรงแรมสยามเบย์ชอว์เมืองพัทยา ทางนายแพทย์ และญาติติดต่อกระผมทางโทรศัพท์เป็นระยะ และกระผมเดินทางกลับถึง กทม.ที่ รพ.จุฬา ประมาณ 19.00น.ท่านยังรอ รอจนกระทั่งสิ้นใจอีกไม่นาน
ซึ่งกระผมได้นำญาติ ลูกหลานทุกท่านขอขอขมากรรมเป็นครั้งสุดท้ายปัจฉิมโอวาทคือให้ เราทุกคนคิดถึงส่วนรวมเป็นอันดับแรก และคิดถึงส่วนตนเป็นอันดับสองรองลงมา เพื่อประโยชน์ของสังคมโดยส่วนรวม(ตามรอยพระบาทสมเด็จพระราชบิดาฯ) ซึ่งสอดคล้องกับที่คุณพ่อผมเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ.2516 ที่คำสอนคุณพ่อให้ลูกทุกคน เกิดมาทั้งทีเป็นคนดีให้ได้ และความหมายความดีที่คุณพ่อสอน คือ ตนเองและคนอื่นไม่เดือดร้อน ทำอะไรก็ตามอย่าผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม และผิดประเพณี วัฒนธรรมในสังคม(คุณพ่อในอดีตคือข้าราชครู)พี่ชายของกระผมก็เสียชีวิตไปแล้วทั้งสองท่าน สอนกระผมให้รักครอบครัว รักญาติ รักคนดี หนีคนชั่ว ท่านลาออกจากงานมาปรนนิบัติคุณแม่อยู่กว่า 10 ปี พอพี่ชายเสียชีวิต (อีกท่านเสียไปก่อนแล้ว)
ท่านก็สั่งสอนกระผม และ น้องสาวมาจนถึงวันที่ท่านจากไป
ทุกๆท่านครับ...
ไม่ต้องรอเวลา ไม่ต้องรอโอกาส ไม่ต้องรอฤกษ์ยาม ครับ ความดีไม่มีขาย ไม่มีใครมาให้ความดีให้เรา เราต้องดำเนินการกระทำเองครับ เพื่อนๆของกระผมหลายๆคน เสียโอกาสไม่มีโอกาส เขาเล่าว่าครั้งหนึ่งเขาเถียงแม่จนแม่น้ำตาตก แล้วท่านก็จากไปในคืนนั้น แม่นอนหลับแล้วไม่ตื่น เพื่อนคนนั้นเสียใจโดยตลอด ไม่มีโอกาสขอขมากรรมตอนขณะยังมีชีวิต และตอนมีชีวิตก็ไม่เคยซื้อของที่ท่านชอบมาให้แม่และพ่อ ซื้อให้แต่ลูก ให้แต่ภรรยา และอดีตภรรยา(เขาเสียใจมาก)
ขอให้ท่านคิดและกระทำทั้งคุณพ่อ คุณแม่ ของท่าน ท่านมีเงินทองที่เป็นนอกกาย ให้ท่าน ให้ของ ให้อาหารรับประทาน ตามสมควรแก่ฐานะ ขอบุญบารมีที่เราทั้งหลายได้ส่งสมมาโดยตลอด โปรดอำนวยพรให้ชาติไทย ประเทศไทยของเราสันติสุข ใครคิดร้ายขอให้กลับกายมาคิดดี ทำดีเพื่อส่วนรวม เพื่อชาติของเรา กระผมไม่เคยอายที่เกิดมาเป็นลูกของคุณพ่อ คุณแม่ ไม่เคยอายที่เป็นคนไทย ไม่เคยอายที่มีท่านทั้งหลายเป็นเพื่อน เป็นกัลยาณมิตร ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดให้เรา ละชั่ว ทำดี จิตใจสะอาดบริสุทธิ์ คิดดี ทำดี เพื่อจรรโลงความดี มีความเกรงกลัวละอายต่อบาป เพื่อนำสมบัติที่ดีติดตัวไปในภพต่อๆไป
หากข้อความเหล่านี้ระคายเคืองท่าน ขออโหสิกรรมต่อกัน อย่ามีเวรต่อกันเลยครับ มิได้บังอาจเป็นการเตือนใจ แต่ต้องให้ สติ-คือความระลึกได้ครับ ท่านมีโอกาส ทำเถิดครับ
ท่านมีปัญญาแล้ว อย่าขาดสติครับ ต้องคู่กัน และมีศรัทธา ก็ต้องมีปัญญาครับ ทุกอย่างมีคู่กัน มีให้ ต้องมีรับ ให้อย่างเดียวไม่ได้ ต้องรับด้วย รับกรรมครับ กรรมดี กรรมไม่ดี
"ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วครับ" เราจะทำโดยตลอดตั้งแต่นี้เป็นต้นไปครับ คิดถึงอดีต สร้างปัจจุบัน ฝันถึออนาคต ครับ ด้วยความปรารถนาดีต่อทุกๆท่านเสมอ
Peace & Happiness Thru Prosperity
ขอแสดงความนับถือด้วยใจจริง
ศาสตราจารย์ ดร.เรวัตร์ ชาตรีวิศิษฏ์
๑ สิงหาคม ๒๕๕๒

ไขปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย

มนุษย์และสัตว์มิได้สิ้นสุดที่ความตาย เพราะการ "ตาย" หมายถึง สภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งานต่อไปได้อีก วิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะบ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไปสุคติหรือลงสู่นรกภูมิ
1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ
2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว
3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์ 4 ชนิด สังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท

- ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)

- หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตาย หูจะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย

- จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ

- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอด จะเกิดเป็นสัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก

เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน?

ดวงวิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่

วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์ หรือเรียกว่า "อนันตริยกรรม" มีอยู่ 5 อย่าง คือ 1.ฆ่าพ่อ 2. ฆ่าแม่ 3. ฆ่าพระอรหันต์ 4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก 5. ทำร้ายพระพทุธเจ้าห้อเลือด

หลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้ว เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี ในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพ

เรามาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพังเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น

เจ็ดวันรอบแรก

วิญญาณผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉย ไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย

เจ็ดวันรอบที่ สอง

เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่าน เมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานี และยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้น

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย

เจ็ดวันรอบที่ สาม

เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้ และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม ยามมีชีวิตทำชั่วอะไร ภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ เสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิด ตอนนี้แต่ก็สายเสียแล้ว

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึง จะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆ และพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด


เจ็ดวันรอบที่ สี่

เมื่อมาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์

เจ็ดวันรอบที่ ห้า

วิญญาณผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลาน คนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตน ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์

เจ็ดวันรอบที่ หก


เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิต หลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา

เจ็ดวันรอบที่ เจ็ด


เมื่อวิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่า ผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกิเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว.

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้น เร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลก ตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท

ที่มา : Mail Forwarding /iraygod@gmail.com

16 กันยายน, 2552

พี่มืดกับพี่บี (คนไม่มีเวลา)‏




เพลง : คนไม่มีเวลา
เนื้อร้อง : ธนกฤต พานิชย์วิทย์
ทำนอง / เรียบเรียง : ชวิน จิตรสมบูรณ์
เพลง คนไม่มีเวลา จากเรื่องจริงที่กินใจ

ถ้าพูดว่า “คนไม่มีเวลา” หลายๆคนคงนึกภาพของคนที่ยุ่งจนไม่มีเวลาทำอะไร, คนที่ชีวิตวุ่นวายรีบเร่ง แต่สำหรับว่าน ธนกฤต คนไม่มีเวลา มีความหมายต่างจากนั้นมากมายนัก
ข้อความต่อๆไป เกิดจากการพูดคุยสัมภาษณ์กับนักร้อง นักดนตรี รุ่นใหม่ ว่าน ธนกฤต
“ผมกับพี่จั๊ก (ชวิน จิตร์สมบูรณ์) ทำงานเพลงร่วมกัน ซึ่งพี่จั๊ก แต่งทำนองเสร็จนานแล้ว และให้ผมเขียนเนื้อ แต่ผมก็ยังเขียนไม่ได้ซักที
มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังจัดรายการ ก็มีแฟนรายการคนนึงมาขออัดเสียงผม โดยบอกว่าจะเอาไปให้เพื่อนที่กำลังป่วยฟัง และเพื่อนคนนั้นเค้าชอบผมมาก
ซึ่งผมก็บอกว่า อย่าอัดเสียงเลยครับ ผมไปเยี่ยมก็ได้ ซึ่งตอนแรกผมรู้เพียงว่า พี่คนนั้นเค้าป่วย ต้องผ่าตัดสมอง แต่ไม่รู้รายละเอียดว่า เค้าเป็นอะไรขนาดไหน
ซึ่งพอผมไปถึงที่โรงพยาบาล สิ่งแรกที่กระทบผมคือ เสียงเพลงจากอัลบั้มแรกของผมดังอยู่ในห้องนั้น ภาพที่ผมเห็นคือ
ห้องคนป่วยที่บนผนังห้องติดโปสเตอร์ของผม รูปของผม และตารางจัดรายการของผม ส่วนพี่ที่นอนอยู่ในสภาพไม่รู้สึกตัว มีผ้าพันหัวและอุปกรณ์ช่วยชีวิตระโยงระยางเต็มไปหมด
ผมได้พบกับครอบครัวของพี่เค้าด้วย ทุกคนในห้องเล่าให้ผมฟังว่า พี่ที่ป่วยชื่อพี่บี เป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตก ต้องผ่าตัดสมองถึง 5ครั้ง และตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย
ทั้งแม่ และครอบครัว รวมถึงสามีของพี่บี ทุกคนเล่าให้ผมฟังว่า พี่บีดีขึ้น คือเริ่มขยับนิ้วได้บ้างแล้ว ทุกคนดูมีความหวังและกำลังใจ แต่สำหรับความรู้สึกของผม
ผมกลับรู้สึกว่า เวลาในห้องนั้นได้หยุดเดิน ทุกคนที่รอ รออย่างไร้จุดหมาย เหมือนเวลามันได้ผ่านเลยไปสำหรับคนที่รออยู่
วันนั้น เมื่อกลับถึงบ้าน ผมเขียนเพลงที่ดองไว้นานเสร็จในเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง “เวลา” อาจไม่มีความหมาย...สำหรับคนบางคน”

ข้างล่าง เป็นเรื่องราวของพี่มืดและพี่บี

พี่มืดกับพี่บี รู้จักกันเพราะทำงานที่เดียวกัน และก็เป็นแฟนกันนาน 8-9 ปี หลังจากนั้นก็แต่งงานกัน พี่มืดทำงานเป็น ครีเอทีฟบริษัทโฆษณา ส่วนพี่บีเป็นอาร์ต ไดเรคเตอร์
ทั้ง 2 คนเรียนจบเมืองนอก และบ้างานด้วยกันทั้งคู่ เมื่อแต่งงานกัน ทั้งคู่จึงมีแผนจะสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมา และต้องใช้เงินอีกก้อนใหญ่ พี่บีซึ่งปกติทำงานเยอะอยู่แล้ว ก็รับจ๊อบเพิ่มขึ้น
เพื่อหาเงินสร้างบ้าน งานเยอะก็เครียดหนัก จนปวดหัวประจำ และมีไมเกรนเป็นโรคประจำตัว
หลังจากแต่งงานกันมา 1 ปี 2 เดือน เช้าวันนั้น พี่มืดแต่งตัวเสร็จแล้ว เตรียมตัวไปทำงาน แต่พี่บียังไม่ลุกจากที่นอนและบ่นว่าปวดหัว พี่มืดเลยบอกให้นอนพักอยู่กับบ้าน ไม่ต้องไปทำงาน
แล้วพี่มืดก็ออกไปทำงาน
นั่นเป็นเช้าวันสุดท้ายที่พี่มืดได้คุยกับพี่บี
พี่มืดเล่าว่า พี่บีเส้นเลือดในสมองแตก เพราะอาการปวดหัวอย่างหนัก ช่วงบ่ายวันที่เกิดเรื่อง พี่บีปวดหัวจนสลบไป และพี่สาวต้องพาไปส่งโรงพยาบาล
หมอบอกว่า เส้นเลือดในสมองแตก และต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 5 ครั้ง ผ่าเส้นนี้อีกเส้นก็แตก ผ่าแล้วก็แตกถึง 5 รอบ จนสุดท้าย หมอก็บอกว่า คงไม่มีเส้นไหนให้แตกอีกแล้ว
พี่บีออกจากห้องผ่าตัดมาก็ยังไม่ฟื้นอีกเลย
เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว พี่มืดรับไม่ได้ ไม่ไปทำงาน ไม่กินไม่นอน ได้แต่นั่งเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่เข้าใจว่าโชคชะตาเล่นตลกอะไรกับเค้า
เหมือนตกจมดิ่งไปในหลุมลึกที่ไม่มีทางขึ้น ดิ้นรนทำทุกทางเพื่อคนรัก
พี่บีอยู่โรงพยาบาล 3 เดือน แบบไม่รู้สึกตัว จนวันหนึ่ง อยู่ๆพี่บีก็ลืมตาขึ้นมา พี่มืดและครอบครัวดีใจกันมาก แต่พี่บีก็แค่ลืมตา กระพริบตา ไม่ได้รับรู้อะไร นิ้วก็เริ่มกระดิกได้
ความหวังของพี่มืดเริ่มเกิดอีกครั้ง พี่มืดเอาแหวนแต่งงานที่ต้องถอดออกมาใส่ให้ แต่นิ้วพี่บีบวมใสไม่ได้ พี่มืดพูดติดตลกทั้งน้ำตากับพี่บีว่า “อ้วนขึ้นนะเธอ ลุกขึ้นมาเดินได้แล้ว”
หมอบอกว่า สำหรับคนเป็นโรคแบบนี้ รักษาอะไรไม่ได้ นอกจากรอ บางคนก็จะฟื้นตื่นขึ้นมาเอง บางคนตื่นก็หาย บางคนถึงตื่นมาก็ช่วยตัวเองไม่ได้
แต่บางคนก็อาจจะเป็นเจ้าหญิงนิทราตลอดไป ขอแค่มีความหวังและกำลังใจ อะไรก็เกิดขึ้นได้ หมอแนะนำให้พาพี่บีกลับไปดูแลที่บ้าน
พี่มืดต้องพยายามทำให้ตัวเองอยู่ได้ ทั้งเพื่อตัวเอง และเพื่อพี่บี
ชีวิตทุกวันนี้ พี่มืดตื่นขึ้นเพราะหมาที่พี่บีเคยเลี้ยงไว้ เข้ามาเลียหน้าปลุก พี่มืดต้องเปิดประตูบ้านให้มันออกไปข้างนอก ลงมาข้างล่างชงกาแฟ และแวะเข้าไปหาพี่บีที่ห้อง
พี่มืดจะนั่งคุยเรื่องราวทั่วไป เปิดเพลง บางทีก็เอากาแฟเข้าไปใกล้ๆจมูกพี่บี เพราะพี่บีก็ติดกาแฟเหมือนกัน ถ้าอยากกินก็ตื่นขึ้นมากินนะ พี่มืดจะบอกพี่บีอย่างนี้
หลังจากดูพี่บีเสร็จก็ออกไปทำงาน ไปทำงานแล้วก็กลับบ้าน มานั่งเป็นเพื่อนพี่บี เป็นกิจวัตรอย่างนี้ทุกวัน
จากคนที่เคยสนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้ ก็กลับเป็นคนเงียบสงบ รถติดก็จะหยิบหนังสือสวดมนต์มาอ่าน จนทุกวันนี้ท่องจบได้เป็นหน้าๆ ทำบุญ เข้าวัด โดยหวังบุญกุศลจะส่งผลถึงคนรัก
ที่บ้านก็ต้องเปิดเพลงที่พี่บีชอบ ต้องนั่งพูดคุยเรื่องต่างๆให้ฟังทุกวัน พยายามหาอะไรที่เค้าชอบมาให้ได้รับรู้ อะไรก็ได้ ที่จะทำให้เธอกลับมาดังเดิม
จนทุกวันนี้เวลาผ่านไปเกือบ 1 ปีแล้ว ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน พี่บีก็ยังเหมือนเดิม ตาที่ลืมขึ้นมา ก็มองอย่างเหม่อลอย โดยหาจุดโฟกัสไม่ได้ นิ้วมือทำได้แค่เพียงกระดิก
แต่พี่มืดเชื่อว่า พี่บีรับรู้อยู่ข้างในแต่แสดงออกมาไม่ได้ พี่บีก็คงกำลังต่อสู้อย่างหนักเพื่อที่จะกลับมา พี่มืดก็จะต่อสู้เหมือนกัน เค้าจะไม่ทิ้งไปไหน และจะทำทุกอย่างเท่าที่ชีวิตนี้จะทำให้ได้
จะรอคอยอย่างมีความหวังต่อไป แม้เวลาจะนานต่อไปอีกแค่ไหน
เมื่อถามว่า ถ้าพี่บีตื่นขึ้นมา พี่มืดอยากพูดอะไรกับพี่บีเป็นคำแรก
พี่มืดตอบว่า “ผมอยากจะขอบคุณเค้า เพราะ ที่เค้าเป็นแบบนี้ทำให้ผมรู้ว่าผมรักเค้ามากแค่ไหน และถ้าผมเป็นคนที่นอนอยู่ตรงนั้นแทนที่จะเป็นเค้า
ผมเชื่อว่าเค้าคงดูแลผมได้ดีกว่าที่ผมดูแลเค้า”
หลายคนบอกว่า ไม่มีอะไรเอาชนะกาลเวลาได้ แต่เราเชื่อว่าความรักสามารถเอาชนะวันเวลาได้ ขอบคุณพี่มืด พี่บี และครอบครัว ที่ทำให้เรารู้จักคุณค่าของความรักที่ยิ่งใหญ่เหนือเวลา
ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=vJYzpDiI5hA&eurl=http%3A%2F%2Fadverblog%2Eexteen%2Ecom%2F&feature=player_embedded

14 กันยายน, 2552

สองทางเลือก


เจอร์รี่ เป็นผู้จัดการร้านอาหาร ผู้มีอารมณ์เบิกบานเสมอ หากมีใครถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้างเขาจะตอบเสมอว่าคงจะดีกว่านี้ถ้าผมมีคู่แฝดพนักงานในร้านมักจะลาออกตาม หากเจอร์รี่เปลี่ยนงานเพื่อติดตามเขาไปทุกๆ ร้านทำไมหรือก็เพราะเจอร์รี่คือผู้สร้างขวัญและกำลังใจที่เป็นธรรมชาติมากวันใดที่พนักงานมีเรื่องเลวร้าย เขาจะไปหาทันทีและบอกเล่าสิ่งที่อยู่ด้านบวกของเรื่องนั้นให้ฟัง
คนแบบนี้ที่ทำให้ผมสนใจอยากรู้จักดังนั้น วันหนึ่งผมจึงไปหาเจอร์รี่และถามเขา

“ผมไม่เข้าใจเลย ไม่มีใครที่มองทุกสิ่งเป็นบวก มองโลกด้านดีตลอดเวลาเช่นคุณ คุณทำได้อย่างไร"
เจอร์รี่ตอบ

“ทุกเช้าที่ตื่นนอน ผมจะพูดกับตัวเองว่าเรามี 2 ทางเลือก คือเลือกมีอารมณ์ดี หรือ ไม่ดี
ผมจะเลือกมีอารมณ์ดีเสมอแต่ละครั้งที่มีเรื่องเลวร้าย
เราเลือกได้ว่าจะตกเป็นเหยื่อหรือจะเรียนรู้จากมันผมจะเลือกเรียนรู้เสมอ”

ทุกครั้งที่มีใครมาต่อว่า

เราสามารถเลือกยอมรับหรือชี้นำสู่ด้านบวกมาให้ผมจะเลือกด้านบวกของมันเสมอ
“แต่มันไม่ง่ายเสมอไปนะ” ผมแย้งขึ้น

“ถูกต้อง” เจอร์รี่บอกชีวิตเต็มไปด้วยทางเลือกยามที่ตัดเอาส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องออก
ก็จะมองเห็นทางเลือกนั้นได้เราจะเลือกวิธีปฏิบัติกับเรื่องนั้นเราจะเลือกวิธีที่ผู้คนจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเรา เราเลือกที่จะมีอารมณ์ดีหรือไม่ดีเราจะเลือกวิธีใช้ชีวิตของเราเอง

หลายปีต่อมา...........

ได้รับข่าวมาว่า เจอร์รี่ได้ทำสิ่งผิดพลาดที่ไม่นึกฝันขึ้นเขาลืมและเปิดประตูหลังร้านทิ้งไว้ จากนั้นตอนเช้ามีโจรพกอาวุธ 3 คนเข้าร้านมาปล้นขณะที่เจอร์รี่กำลังพยายามไขตู้เซฟอยู่มือที่สั่นเทาด้วยความกลัวจนกุญแจหมุนรหัสลื่นหลุดไป โจรเองก็ตกใจจึงลั่นกระสุนใส่เจอร์รี่โชคยังดีที่เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลทันเวลาหลังจากเข้าผ่าตัด 18 ชั่วโมงพักฟื้นใน ICU หลายสัปดาห์ เจอร์รี่ออกจากโรงพยาบาลโดยมีกระสุนฝังในอยู่ ผมได้พบเจอร์รี่ 6 เดือนหลังเกิดเหตุเมื่อผมถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง

เขายังคงตอบว่า
“คงจะดีกว่านี้ ถ้าผมมีคู่แฝด อยากดูแผลมั้ย”ผมปฏิเสธที่จะดูแผล แต่ถามสิ่งที่เขาคิดในใจตอนโจรเข้าร้าน
เขาตอบว่า

“สิ่งแรกที่คิดคือ ผมน่าจะปิดประตูหลังร้าน”“จากนั้น พอถูกยิงและล้มลง
คิดได้ว่ามี 2 ทางเลือกคือ

อยู่หรือตาย และผมเลือกจะอยู่”“แล้วไม่กลัวเลยหรือ” ผมถามเจอร์รี่กล่าวต่อว่า

“เวรเปลเยี่ยมมาก เขาให้กำลังใจผมตลอดทางว่าไม่เป็นไร”
แต่เมื่อไปถึงห้องฉุกเฉิน

และได้เห็นสีหน้าของหมอและพยาบาลผมรู้สึกกลัวมากจริงๆภายในตาของพวกเขา ผมอ่านได้ว่า
“เขาต้องไม่รอดแน่นอน”ผมรู้ว่าผมคงต้องทำบางอย่าง”

“คุณทำอย่างไร” ผมถาม

เจอร์รี่บอก “มีพยาบาลคนหนึ่งตะโกนถามผมว่า

ผมเป็นภูมิแพ้ยาอะไรบ้างหรือเปล่า” “เป็น” เจอร์รี่ตอบชัด

เหล่าหมอและพยาบาลหยุดทำงานเพื่อรอคำตอบจากผม

ผมสูดหายใจลึก
และร้องลั่นว่า

“แพ้กระสุน”

ท่ามกลางเสียงหัวเราะ
ผมบอกว่า “ผมเลือกจะมีชีวิตอยู่ช่วยผ่าตัดผมที เพราะผมยังมีชีวิตผมยังไม่ตาย”
เจอร์รี่รอดได้ด้วยฝีมือหมอบวกกับทัศนคติที่สุดยอดของเขา

ผมได้เรียนรู้จากเจอร์รี่ทุกๆ วัน เรามีทางเลือกที่จะสนุกสนานหรือชิงชังกับชีวิตแต่จะมีสิ่งหนึ่งที่เป็นของเราเสมอไม่มีใครควบคุมหรือเอาของเราไปได้นั่นก็คือทั ศ น ค ติ ของเราถ้าเราควบคุมมันได้สิ่งอื่นที่เหลือก็ไม่มีอะไรยากอีกตอนนี้

ที่มา : Mail forwarding.

ส่วนผสมของเหล้า



ส่วนผสมของเหล้า

วันหนึ่งไอ้ขี้เมามันเดินเข้ามาหาพระในวัด... มันบอกว่าหลวงพี่ชอบด่าคนกินเหล้า... ว่าโง่ยิ่งกว่าหมา... อยากจะทดสอบหลวงพี่หน่อย... ที่หลวงพี่บอกว่าเหล้าไม่ดีนะ... หลวงพี่รู้หรือเปล่าว่า... เหล้านะมีส่วนผสมอะไรบ้าง...?
หลวงพ่อก็ตอบไปว่า..เรื่องง่ายๆ... ทำไมพระจะไม่รู้ คนโบราณเขาเล่าว่า... เหล้ามันผสมด้วยเลือดสัตว์ 5 ชนิด... คือ...

1. เลือดเสือ... กินเข้าไปแล้วดุมาก...มึงช่วยหามกูไปตีกับมันหน่อย...

2. เลือดงู... ....กินแล้วเดินไม่ตรงทาง...คดไปคดมา...

3. เลือดนก......กินแล้วคุยทั้งวันทั้งคืน...ไม่รู้เอาเรื่องอะไรมาพูด...

4. เลือดหมู..... กินแล้วนอนตรงไหนก็นอนได้...หมาเลียปากก็ไม่รู้สึก...

5. เลือดหมา....กินแล้วเห่าตะพึด...กระทั้งลูกเมียตัวเองมันก็จะกัด...

พูดเสร็จอาตมาก็รีบเดินเข้ากุฏิ...เพราะพระไม่มีประกันชีวิต..

จากคำเทศนาของพระพิศาลธรรมพาที พระพยอม กัลยาโณ

โรคจิต


ฉันได้ฟังปริศนาธรรมเรื่องนี้มา
ซึ่งพระอาจารย์ประสงค์ ปริปุ ณฺโณ
จากวัดป่าชิคาโกท่านกรุณาเทศน์ เล่าให้ฟัง
พระ อาจารย์เริ่มเรื่องด้วยคำถามว่า
ถ้า มี หมาเน่าลอยน้ำมาติดที่หน้าบ้านของเรา เราจะทำยังไง
ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน ว่า
ให้เอาไม้เขี่ยมันออก ไป
พระอาจารย์ก็ถามต่อว่า
เขี่ยเสร็จแล้ว หมาเน่าลอยไปแล้ว ไม้ นั้นเราทำยังไง
ทุก คน ก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันอีกว่า
ก็ ต้องโยนทิ้งไป
คราว นี้พระอาจารย์ก็บอกว่า นั่นแหละ...
มีคน บางพวก ไม่ยอมทิ้งไม้เขี่ยหมาเน่านั้นไปเฉยๆ
ไม่รู้เสียดายอะไร
ทั้งๆที่รู้ว่าเหม็นแต่ก็หยิบกลับขึ้นมาดมอยู่ เรื่อย
ไม้ เขี่ยหมาเน่าๆเหม็นๆน่ะ
พระอาจารย์เล่าเรื่องจบเพียงแค่ นี้
ทิ้งไว้เป็นปริศนาธรรมให้เอามา คิด ต่อ...
เห็นด้วยกับฉัน มั้ย...
คน ที่ รู้ทั้งรู้ว่าไม้เหม็นแต่ก็ยังเก็บมาดมอยู่ได้เนี่ย...
ไม่โง่ก็โรคจิตนะ

- : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : -

เคยเป็นบ้างมั้ย เวลามีใครมาทำให้เรา โกรธ
จนเรื่องต่างๆ เหตุต่างๆที่ทำให้เราโกรธมันดับไปหมดแล้ว
แต่เราก็ยังเก็บมาคิดมาแค้นอยู่ นั่นแหละ ไม่รู้เสียดายอะไร
ทั้งๆที่รู้ว่าทำให้เป็นทุกข์
แต่ก็เก็บความคิดแค้นมาเผาใจอยู่ เรื่อยๆ
หรือไม่ต้องเรื่องโกรธก็ได้... เรื่องอะไรๆที่มันผ่านไป แล้ว
แต่หลายครั้งเราก็ยังเก็บโน่นเก็บนี่มาคิด มากังวล
มาเสียใจอะไรก็แล้วแต่
ฉันคนหนึ่งล่ะที่เคยเป็น
แล้วฉันก็คิดว่าทุกคนก็คงเคย เป็น
คราวหลังถ้าเป็นอีกลองบอกตัวเองสิ ว่า...
แน่ะ... หยิบไม้เขี่ยหมาเน่ามาดมอีกแล้วนะ เรา
คนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม้เหม็นแต่ก็ยังเก็บมาดมอยู่ได้ เนี่ย...
ไม่โง่ ก็โรคจิตนะ
ดูซิว่ายังจะอยากเก็บไม้เหม็นๆไว้ดมอีก มั้ย :)
ที่มา : Mail forwarding

เรื่องจริงเป็นนิยายเกาหลี

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คนแต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปีวันหนึ่ง ฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกันจากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพงโดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาดฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชาย
ฉันก็เช่นกันพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้นทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า"ผมขโมยเองครับ"ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่องพ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุดจนพ่อหอบด้วยความเหนื่อยพ่อนั่งลงบนเก้าอี้และด่าว่าน้องชายของฉัน" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีกแกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมดแต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมากน้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปาก
ฉันไว้ แล้วพูดว่า" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อหลายปีผ่านไปแต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เองฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลยตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...เมื่อตอนที่
น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้นเขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลายก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกันคืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้านฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า " ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า"แล้ว
เราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า" ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนนพ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงินฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆของน้องชายเบาๆ และคิดว่า" ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ใครจะรู้ได้
.......วันต่อมาในตอนเช้ามืดน้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้นและถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิวก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะฉันกำลังหลับ" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า .......ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไปตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .....ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้านรวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ .......ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพักเพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ"ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง...ฉันถาม
เขาว่า"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า"ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้องและพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ" พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไงเธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงเป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉันแล้วพูดว่า"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใดดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานานตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี .
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรกฉันสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้วเมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมากหลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจกเพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า " แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้านลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอน้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขาฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"ฉันถาม"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมดแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
และ..."น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูดเพราะฉันหันหน้าหนีเขาน้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง"เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองหลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่งแต่เมื่อออกไปแล้วท่านไม่รู้จะทำอะไรดีจึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิมน้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...เขาบอกกับฉันว่า"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัวเราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท...แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับ
ตำแหน่งนี้เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดาวันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิลและตกลงมาเพราะโดนไฟดูดเขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาลฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลน้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว
ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียดยังยืนยันความคิดเดิมของเขา"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธานส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการคงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .....ฉันบอกกับน้องว่า"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ" น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...
เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปีเขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกันในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า" ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .....และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งเราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม.เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้านวันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่งพี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้าง
หนึ่งและเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกลเมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาวเธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ
.......นับจากวันนั้นผมสาบานกับตัวเองว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ"เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วสายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉันคำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ....... "ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"
ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวันในชีวิตของคุณและเขาคุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆแต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง.. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือพ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อนหรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม จบบริบูรณ์
....ป.ล.ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและใน
เครือกว่า 20 บริษัทน้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า"ซัมซุง"และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับบู มิง ฮอง เล่าเรื่อง
ที่มา : Mail forwarding.

ภรรยา 4 คน



..... ชายคนหนึ่งมีภรรยา
อยู่ 4 คน>>>> ภรรยาคนที่ 1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามใจ ตลอดอยากได้อะไร เขาหาให้ ทุกอย่าง ภรรยาคน ที่ 2 เขารักมาก เขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อภรรยาคน นี้และจะไปหา ภรรยาคนนี้เสมอ
ภรรยาคนที่ 3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอ ควร แวะไปหาบางเป็นครั้ง คราว
ภรรยาคน ที่ 4 เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไป หา ไม่คิดถึงเลย ด้วยซ้ำ
………..ต่อมาชาย คนนี้ไปกระทำความผิดร้ายแรงและถูกจับต้องถูก ประหารชีวิตก่อน
ที่จะถูกประหาร เขาขอร้อง ว่าเขาขอกลับ บ้านเพื่อไปร่ำลาภรรยาสุดที่รักซักครั้ง ผู้ คุมเห็นใจจึง อนุญาต เมื่อกลับ มาถึงบ้าน เขารีบตรงไปหาภรรยาคนที่ 1 เล่า เหตุการณ์ต่างๆ ให้ ฟัง และถามภรรยา คนที่ 1 ว่า " ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน
ที่ 1 จะ ทำอย่างไร? " ภรรยาคนที่ 1 ตอบน้ำเสียงที่เย็นชาว่า " ถ้าเธอตาย เราก็จบ กัน คำตอบที่ได้รับ เหมือนสายฟ้าที่ผ่า เปรี้ยง!! ลงมาที่เขาอย่าง จังเขารู้สึก เจ็บปวดและเสียใจเป็นอย่าง ยิ่ง นึกเสียดาย ว่าเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้
เลย จากนั้นเขาก็ ไปหาภรรยาคนที่ 2 ด้วยอาการเศร้าโศก เล่า เรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง และถามคำถาม เดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า" ถ้าเขาต้องตายภรรยาคน ที่ 2 จะทำอย่างไร? "ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า " ถ้าเธอตาย ฉันจะมี ใหม่ " เหมือนสาย ฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขาอย่างจัง เขารู้สึกเสียใจ มาก และนึก เสียดายว่าที่ผ่านมาเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่น กันเขาเดินคอตก มาหาภรรยาคนที่ 3 เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง และถามภรรยา คนที่ 3 ว่า" ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 3 จะทำ อย่างไร? " ภรรยา คนที่ 3 ตอบว่า " ถ้าเธอตาย ฉันจะไป ส่ง " ทำให้เขา คลายความเศร้าโศกขึ้นมาได้
บ้าง อย่างน้อยก็ ยังมีภรรยาที่จริงใจกับเขา ก่อนกลับไป รับโทษเขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคนซึ่งไม่ เคยไปหาเลย จึงไป หาภรรยาคนที่ 4 และถามว่า" ถ้าเขาต้องตายภรรยาคนที่ 4จะทำอย่าง ไร? " ภรรยาคน ที่ 4 ตอบว่า " ถ้าเธอตาย ฉัน
จะตามไป ด้วย " แทนที่เขา จะดีใจกลับนึกเสียใจหนักขึ้นไปอีก เพราะ...มัน สายเกินไปเสีย แล้ว ช่วงที่เขา มีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคน นี้แต่ภรรยาคน นี้ไม่คิดที่จะทิ้งเขา จะติดตามเขาไปอยู่ ด้วย แล้วชายคน นี้ก็กลับไปรับโทษประหาร และเมื่อเขาตาย ภรรยาคน ที่ 4 ก็ตายตามไป ด้วย..... ; เราทุกคนก็มีภรรยา 4 คน นี้ มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร ? ลองคิดกันก่อน นะ แล้วค่อยดู
เฉลย
........................>> ทีนี้เรามาดูกัน ว่า ภรรยาคนที่ 1, 2, 3 และ 4 >>เป็นใครกัน บ้าง>>>> ภรรยาคน ที่ 1 =
ร่างกายของ เรา>>>> เพราะเวลาเรา มีชีวิตอยู่ เราจะบำรุงบำเรอด้วยของสิ่ง >>ทุกอย่าง>>>> อยากได้ อะไรก็หา
ให้>>>> แต่ พอเราตายมันกลับไม่ไปกับ เรา>>>> เมื่อเราตาย>>ร่างกายมันก็มีค่าเท่ากับท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่า>> นั้น>>>>>>>> ภรรยาคนที่ 2 = ทรัพย์ สมบัติ>>>> เพราะเวลา เรามีชีวิตอยู่ >>เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มัน มา>>>> แต่พอเราตาย มันกลับไม่ไปกับเรา แต่ไปเป็นของคน อื่น>>>>>> ภรรยาคนที่ 3 = พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่ น้อง>>>> เพราะพอเรา ตาย เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญไป ให้>>>> แปลว่า เขา แค่ไปส่งเราเท่า>>นั้น>>>>>> ภรรยาคนที่ 4 = บุญกับ>> บาป>>>> เมื่อเราตาย ไป เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วย ได้>>>> มีเพียงแค่ บุญกับบาปเท่านั้นที่จะตามเรา ไป>>>>>> ..... หลังจากอ่านจบแล้วได้แง่คิดอะไรกันบ้าง ?>>>> ..... จะให้ความ สำคัญกับภรรยาคนไหนมากกว่ากัน?
ที่มา :Mail forwarding.

ตามหาอะไรกัน??


มีเรื่องเล่าว่า ... มีพระองค์หนึ่ง ชอบทำอะไรแปลกๆ
วันหนึ่ง ... พวกกรุงเทพฯ เอากฐินไปทอดที่วัด
จัดงานกันใหญ่โต มีหนัง ... มีลิเก ... มีดนตรี ... ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน
ก่อนทอดกฐิน ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา ...
บอกให้ไปเอาเนื้อจาก โรงครัวมาก้อนหนึ่ง แล้วเอาเชือกมาด้วย
หลวงพ่อจัดการ ... เอาเนื้อผูกติดกับหลังหมา
ผูกเสร็จ ... ก็ปล่อยหมา
หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง ก็ไล่งับ
พอหัวโดดงับ ... ตัวก็ขยับหนี ...
เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง
ยิ่งโดดงับเร็ว ... ก้อนเนื้อ ก็หนีเร็ว
โดดไม่หยุด ... เนื้อก็หนีไม่หยุด ... น่าสงสารหมามาก
หมาโดดอยู่นาน... งับเท่าไหร่... เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที ...
ผู้คนบนศาลา พากันหัวเราะชอบใจ
หัวเราะเยาะหมา ... ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้
ไล่งับจะกินเนื้อ ... ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต
หลวงพ่อ... มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว
ก็แก้เชือกออกจากหลังหมา
แล้วหันมาพูดกับ ญาติโยมว่า
มนุษย์เรา ... มีความรู้สึกว่า ... ตัวเองพร่อง ... ตัวเองยังไม่เต็ม ต้องเติมตลอดเวลา ... เติมไม่หยุด ... เพื่อให้ตัวเองเต็ม
เราอยากสวย ... อยากทันสมัย ... ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุดใส่ ดีใจได้ เดือนเดียว ... มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว ... สวยกว่า ... ทันสมัยกว่า อยากได้ โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่
ซื้อเสร็จ 3 เดือน ... รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...
ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด... 2 เดือนต่อมา... มีรุ่นใหม่กว่าออกมา ของเราตกรุ่น
เราต้องก้มหน้าก้มตา ... ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน ... หาเงินมา ...
เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย
ซื้อเสื้อผ้าใหม่ ... มือถือใหม่ ... คอมพิวเตอร์ใหม่ ... รถยนต์คันใหม่ ...
เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส ... เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น
ปัจจุบัน...
เรา กำลังไล่งับความทันสมัย...เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน...
ทั้งที่รู้ว่า ...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต ก็ไม่มีทางตามทัน
น่าสงสารไหม ! โยม ...
คนเต็มศาลา ... เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น ด่าว่า “ หมามันโง่ ”
ตอนนี้เงียบสนิท... เหมือนไม่มีคนอยู่

ไม่รู้ว่า กำลังสงสารหมา หรือ กำลังทบทวน “ ความโง่ตัวเอง ”
ที่มา : Mail forwarding.

Japanese Fishing Story



เรื่องเล่าชาวประมง(ญี่ปุ่น)
The Japanese have always loved fresh fish.
But the waters close to Japan have not held many fish for decades.
So to feed the Japanese population,
fishing boats got bigger and went farther than ever.
The farther the fishermen went, the longer it took to bring in the fish.
คนญี่ปุ่นชอบเนื้อปลาสดแต่ทะเลหรือแหล่งน้ำแถบญี่ปุ่นนั้นไม่มีปลาชุกชุมมานานหลายทศวรรษแล้ว ดังนั้นเรือประมง ทั้งหลายจึงมีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อให้สามารถหาปลาได้เพียงพอต่อการบริโภค
The Japanese did not like the taste.
To solve this problem,
fishing companies installed freezers on their boats.
They would catch the fish and freeze them at sea.
และคนญี่ปุ่นไม่ชอบรสชาติแบบนั้น...วิธีแก้ปัญหาก็คือบริษัทประมงทำการติดตั้งตู้แช่แข็งเอาไว้บนเรือพอจับปลาได้ก็เอาใส่ไว้ในตู้แช่แข็งตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในทะเล
Freezers allowed the boats to go farther and stay longer.
However, the Japanese could taste the difference between fresh and frozen and they did not like frozen fish.
The frozen fish brought a lower price.
ทำให้พวกชาวประมงสามารถออกไปหาปลาได้ไกลจากฝั่งมากขึ้นแต่ว่าคนญี่ปุ่นก็สามารถแยกความแตกต่างในรสชาติ ของเนื้อปลาสดกับเนื้อปลาแช่แข็งได้อยู่ดี และพวกเขาก็ไม่ชอบปลาแช่แข็งเสียด้วย..ปลาแช่แข็งจึงมีราคาถูก..
So fishing companies installed fish tanks.
They would catch the fish and stuff them in the tanks, fin to fin.
After a little thrashing around, the fish stopped moving.
They were tired and dull, but alive.
เมื่อเป็นเช่นนั้น บริษัทประมงจึงทำการติดตั้งแท้งค์น้ำแล้วเอาปลาที่จับได้ใส่ลงไปแต่พอถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาและต้องโคลงเคลงอยู่ในแทงค์นานๆเข้าปลาก็ไม่ยอมว่าย มันอ่อนล้าแล้วก็เซื่องซึมลงแม้จะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม
Unfortunately, the Japanese could still taste the difference.
Because the fish did not move for days, they lost their fresh-fish taste.
The Japanese preferred the lively taste of fresh fish, not sluggish fish.
โชคไม่ดีที่คนญี่ปุ่นก็ยังสามารถแยกความแตกต่าง ในรสชาติของเนื้อปลาได้อยู่เหมือนเดิมปลาเหล่านั้นไม่ให้รสชาติความสดใหม่เสียแล้ว เพราะว่ามันไม่ได้ว่ายมาหลายวัน คนญี่ปุ่นชอบรสชาติความสดของปลาใหม่ๆ มากกว่าปลาเฉื่อยๆแบบนั้น
So how did Japanese fishing companies
solve this problem?
How do they get fresh-tasting fish to Japan?
บริษัทประมงญี่ปุ่นแก้ปัญหานี้อย่างไร พวกเขาจะจับปลาที่ให้รสชาติของความสดใหม่กลับ ประเทศอย่างไร?
you were consulting the fish industry,
what would you recommend?
หากคุณจะให้คำปรึกษาแก่อุตสาหกรรมประมงคุณจะแนะนำอย่างไร!???
As soon as you reach your goals, such as finding a wonderful mate,
starting a successful company, paying off your debts or whatever,
you might lose your passion.
You don't need to work so hard so you relax.
เมื่อคุณบรรลุถึงจุดหมายที่ตั้งเป้าไว้คุณมีคู่ครองที่เหมาะสมมีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ใช้หนี้แบงค์จนหมด หรืออะไรก็ตามแต่
คุณก็เหมือนจะหมดไฟซะอย่างนั้นก็คุณได้หมดที่อยากได้แล้วนี่ คุณไม่ต้องพยายามอีกต่อไป.....อย่างนั้นหรือ?
Like the Japanese fish problem, the best solutions simple.
It was observed by L. Ron Hubbard in the early 1950's.
“Man thrives, oddly enough,
only in the presence of a challenging environment."L. Ron Hubbard
ก็เปรียบได้กับปัญหาเรื่องปลาๆ ของชาวญี่ปุ่นนี่ล่ะ ทางแก้นั่นง่ายมากตามที่นาย รอน ฮับบาร์ด เค้าค้นพบแล้วในช่วงปียุค ’50 ว่า“มนุษย์เราจะใฝ่หาความสำเร็จในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายเท่านั้น”
The Benefits of a Challenge
ความท้าทายให้อะไรกับชีวิต...
The more intelligent, persistent and competent you are, the more you enjoy a good problem.If your challenges are the correct size,
and if you are steadily conquering those challenges, you are happy.
เมื่อคุณรู้สึกว่าคุณเก่ง คุณสามารถ คุณมุ่งมั่น คุณก็เริ่มที่จะมองปัญหาต่างๆเป็นสิ่งท้าทายและเมื่อคุณเอาชนะปัญหาพวกนั้นได้ คุณจะรู้สึกดีกับตัวเอง
You think of your challenges and get energized. You are excited to try newsolutions.
You have fun. You are alive!
คุณไม่เกรงกลัวต่อปัญหาอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้าม คุณรู้สึกกระตือรือร้น ตื่นเต้นที่จะได้คิด ได้แก้ไข ได้ลองวิธีใหม่ๆคุณเริ่มสนุกกับปัญหาเข้าแล้วเพราะมันทำให้คุณรู้สึกมีชีวิต ชีวา!
How Japanese Fish Stay Fresh?
…กลับมาที่เรื่องปลาๆของชาวญี่ปุ่นตกลงว่า เค้าแก้ปัญหาปลาไม่สดยังไงกันนะ?
To keep the fish tasting fresh,
the Japanese fishing companies still put the fish in the tanks.
But now they add a small shark to each tank.
The shark eats a few fish,
but most of the fish arrive in a very lively state.
The fish are challenged.
ทางแก้ปัญหาเรื่องปลาของคนญี่ปุ่น ... ง่ายนิดเดียวชาวประมงญี่ปุ่นเค้าจะใส่ปลาไว้ในแทงค์แล้วก็ใส่ "ปลาฉลาม" ลงไปในแต่ละแทงค์ด้วยปลาฉลามอาจกินปลาไปนิดหน่อยแต่มันทำให้บรรดาปลาส่วนใหญ่มีชีวิตชีวามากขึ้นปลาก็ผจญกับเรื่องท้าทาย ไม่เบื่อหน่าย ไม่เป็นปลาที่รอวันตาย
Instead of avoiding challenges, jump into them.
Beat the heck out of them. Enjoy the game.
If your challenges are too large or too numerous,
do not give up. Failing makes you tired.
Instead, reorganize.
Find more determination, more knowledge, more help.
If you have met your goals, set some bigger goals.
อย่าหนีปัญหา แต่จงโดดเข้าใส่ แล้วซัดมันให้น่วมไปเลยสนุกกับมันสิ ปัญหาคือความท้าทาย!แต่ถ้าปัญหานั้นมันใหญ่โต ก็อย่าเพิ่งยอมแพ้ลองจัดระบบให้กับตัวเองซะใหม่เรียกความมุ่งมั่นกลับมา หาความรู้ใส่ตัว หาความช่วยเหลือก็ได้หากจำเป็นแต่ถ้าหากคุณทำข้อสอบ ตอบโจทย์ ที่ได้มาจนหมดเกลี้ยงแล้วก็ได้เวลาหาโจทย์ใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม!
Once you meet your personal or family needs,
move onto goals for your group, the society,
even mankind. Don't create success and lie in it.
You have resources, skills and abilities to make a difference.
หากคุณประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนตัว และครอบครัวแล้วลองมองดูรอบตัว... ว่าคุณทำอะไรได้อีกบ้าง ให้กับคนอื่นกลุ่มการทำงานของคุณ สังคมที่คุณอยู่...หรือแม้แต่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกคุณสร้างความแตกต่างได้อีกมากมายให้กับโลกใบนี้
Put a shark in your tank and see how far you can really go.
วันนี้.. คุณหาปลาฉลาม มาใส่ในชีวิตคุณบ้างหรือยัง ??
Presented By MARITIME TRAINING CENTER

ของขวัญทางปัญญา (1)



สวัสดีคะ

ของขวัญทางปัญญา(ท่านพุทธทาสภิกขุ) เป็นของขวัญจากพี่ชายของนก มอบให้ในวันที่เราไปทำบุญกันคะ เป็นคำกลอนด้านหน้าซอง ใส่ ส.ค.ส ปี 2552 คะ อยากให้เพื่อนๆ ของนกได้อ่านและคิดกันคะ
....................
กรรมดี ดีกว่า วัตถุมงคล

ทำดี ดีแล้ว เป็นพร

เราดี ดีกว่า ดวงดี
....................
ทำดี ดีแล้ว เป็นพร ไม่ต้อง อ้อนวอน

ขอพร กะใคร ให้กวน

พรที่ ให้กัน ผันผวน เป็นเหมือน ลมหวน

อวลไป อวลมา อย่างหลง

พรทำ ดีเอง มั่นคง วันคืน ยืนยง

ซื่อตรง ต่อผู้ รู้ธรรม

อยากรวย ด้วยพร เพียรบำ เพ็ญบุญ กุศลนำ

ให้ถูก ให้พอ ต่อตน

ทุกคน เกิดมา เป็นคน ชั่วดี มีจน

เป็นผล แห่งกรรม ทำเอง

ถือธรรม เชื่อกรรม ยำเยง บาปชั่ว กลัวเกรง

ทำแต่ กรรมดี ทวีพรฯ

พุทธทาสภิกขุ

พร 4 ข้อของท่าน ว.วชิรเมธี



พร 4 ข้อของท่าน ว.วชิรเมธี

1. อย่าเป็นนักจับผิด
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง
" กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก "
คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส " จิตประภัสสร " ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี
" แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข "

2. อย่ามัวแต่คิดริษยา
" แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน "
คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
คนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า " เจ้ากรรมนายเวร " ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้อง ถอดถอน
ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น " ไฟสุมขอน " ( ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน
เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี " แผ่เมตตา " หรือ ซื้อโคมมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป

3. อย่าเสียเวลากับความหลัง
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ " ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น "
มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ " อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน "
" อยู่กับปัจจุบันให้เป็น " ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี " สติ " กำกับตลอดเวลา

4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
" ตัณหา " ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่ เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วย น้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วย เชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ " ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม "
ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกา คืออะไร คือ ไว้ดูเวลา ไม่ใช่มีไว้ ใส่เพื่อความโก้หรู
คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือ คืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่ คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์
เราต้องถามตัวเองว่า " เกิดมาทำไม " " คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน" ตามหา " แก่น " ของชีวิตให้เจอ
คำว่า "พอดี" คือถ้า "พอ" แล้วจะ"ดี" รู้จัก "พอ" จะมีชีวิตอย่างมีความสุข


ที่มา: iamraywat@yahoo.com

เรื่องเล่าจากญี่ปุ่น บะหมี่ในวันปีใหม่


นิทาน : บะหมี่ในวันปีใหม่ที่ซับโปโร
วันที่ 31 ธันวาคม 2528 ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
ที่ร้านบะหมี่ " ฮอกไก " บนถนนซัปโปโร

การกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นเป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร้านบะหมี่ขายดีในวันสิ้นปี "ร้านฮอกไก" นี้ก็เช่นกัน ในวันนี้คน แน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนก็เริ่มน้อยลง วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้านเพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน ดังนั้นถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ เถ้าแก่ของร้าน "ฮอกไก" เป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยใจคอดี

ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไปในขณะเถ้าแก่เนี้ยก็จะปิดร้าน ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบา ๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน คนหนึ่งประมาณ 6 ขวบกับอีกคนหนึ่งประมาณ 10 ขวบเข้ามาในร้าน เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยมเหมือนกันทั้งสองคน ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ทลายสก๊อตเก่า ๆ เชย ๆ

เถ้าแก่ร้องทักทายออกมา "เชิญนั่งครับ"
หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัวว่า "ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมค๊ะ"
เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

"ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า
"บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"

บะหมี่หนึ่งชามมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่ เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย กินพลางพูดพลาง "ทานเถอะครับ" ลูกคนพี่พูด
"แม่ทานหน่อยสิครับ" ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน

ไม่นานก็กินบะหมี่หมดชาม จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยนแล้วทั้งสามคนก็ชมว่า

"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ(ครับ)" พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป

"ขอบคุณมากค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"

ทั้งเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณ

ทำงานไปวันแล้ววันเล่ายุ่งตั้งแต่เช้าจรดเย็น และแล้วก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี วันที่ 31 ธันวาคมก็เวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ในวันส่งท้ายปีเก่า ร้านบะหมี่ "ฮอกไก" ก็ยังคงขายดีและดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย และแล้ววันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง 22.00 น.กว่า ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น

ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่า และเชย เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง

"ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้มั๊ยคะ"

"ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ"

เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว โต๊ะเบอร์สอง
พลางตะโกนว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
เถ้าแก่รับคำพลาง จุดเตาที่เพิ่งจะดับไปพลาง "ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"
เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า "นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ"
"ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้มั๊ย"
สามีตอบพลาง แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดพล่าน เดินไปยืนข้างภรรยาแล้วก็ยิ้ม ภรรยาก็พูดขึ้นว่า......

"เห็นเธอซื่อ ๆ ทึ่ม ๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ"

ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้นแล้วให้ภรรยายกไปให้สาม แม่ลูก สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย

"หอมจังเลย…ยอดไปเลย…อร่อยจริง ๆ "
"ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว"
"ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"

กินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน แล้วสามแม่ลูกก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป

"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)" มองตามหลังสามแม่ลูกจนลับหายไป

สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง


ในวันสิ้นปีของสามปีมานี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00น.ไปแล้ว สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00น. พนักงานในร้านต่างก็รับอั้งเปาแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป

พอคนกลับไปหมดแล้วเจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียนไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน" และเถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว" ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขกที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ

22.30 น. ในที่สุดสามแม่ลูกก็ปรากฎตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ทที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อนดูหลวมและไม่พอดีตัว เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก ส่วนผู้เป็นแม่ก็ยังคงสวมเสื้อโค้ทลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชยแถมสีซีดตัวเดิม

"เชิญค่ะ เชิญค่ะ"
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ มองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ย ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกงกเงิ่นเงิ่นว่า

"รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมค่ะ"
"ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ"

เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง แล้วรีบเอาป้าย "จองแล้ว" ออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า
"บะหมี่น้ำสองชาม"
"ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชามได้เดี๋ยวนี้แหละครับ"
เถ้าแก่พลางตอบ พลางโยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วเหมือนมีความสุขกันมาก

สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกัน ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย

"ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูก ๆ เป็นอย่างมาก"
"ขอบคุณ ?"
"ทำไมครับ"
"เรื่องเป็นอย่างนี้ .......คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น ในช่วงหลายปีมานี่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน"

"เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ" ผู้เป็นพี่ตอบ

ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร

"แต่เดิมนั้นเเราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว"
"จริง ๆ หรือครับ แม่"

"จริงสิจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์ ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยันพร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด"

"ว้าว แม่ครับพี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ"

"ผมก็จะส่งหนังสือพิมพ์ต่อนะครับ ไอ้น้องชาย เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันสู้หน่อยแล้วนะ"

"ขอบใจลูกทั้งสองมาก ขอบใจจริง ๆ "

"แม่ครับผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือพฤศจิกายนโรงเรียนของน้อง ได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบผู้ปกครอง คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อนๆ ของน้องนะครับผมถึงทราบ ดังนั้นในวันนั้นผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง"

"จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ"

"หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย"

"เรียงความเขียนว่า…หลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหาม รุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย…"

"ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันที่ 31 ธันวาคม พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำ
อร่อยมาก…สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเราอีก แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด…"


"ด้วยเหตุนี้น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่ แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคน…ขอให้มีความสุขครับ…ขอบคุณครับ…"

สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่จู่ ๆ ก็หายตัวไป
พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลยเพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบพังนั้นอย่างไม่ลดละ

"พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่า .......
"วันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ "

"จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรหล่ะ"

"ก็มันกระทันหันเกินไป ตอนแรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ผมจึงพูดว่า…ขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน ดังนั้นในเวลาที่เพื่อน ๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะ อยู่ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ได้เพราะต้องรีบกลับบ้าน เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร"

"เมื่อครู่นี้ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม ผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่ น้ำหนึ่งชามด้วยเสียงอันดังนั้นจนจบ ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อ สักครู่นี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริงๆ "

"หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามนั้นเพื่อกิน กันสามคนนั้นผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยัน และดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"

สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบ ๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุก ๆ ปี
จ่ายเงินไปสามร้อยเยน กล่าวขอบคุณค้อมตัวลงเคารพและเดินออกจากร้านไป เจ้าของร้านมองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงได้รู้สึกว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริง ๆ พร้อมกับกล่าวว่า

"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"

.......... และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง


พอถึงเวลา21.00น.ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย"โต๊ะจอง"ไว้บนโต๊ะเบอร์สองและเฝ้ารอคอย การมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย แต่ในปีนั้นสามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย

ปีที่สอง ปีที่สาม
โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม

สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย
กิจการของร้านฮอกไกดีมาก ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่ โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่

จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม

"นี่มันเรื่องอะไรกัน"
ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา

เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟัง โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง และก้อไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขา
โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อว่า "โต๊ะแห่งความสุข"

ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไป

มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากิน บะหมี่ และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้


ผ่านวันที่ 31 ธันวาคม ไปอีกหลาย ๆ ปี

พอถึงวันสิ้นปีหลังจากปิดร้านแล้ว เจ้าของร้านค้าในระแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก ก็มักจะมารวมตัวฉลองโดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก กินไปพลาง ก็รอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง แล้วทุกคนก็ไปวัดเพื่อไหว้พระด้วยกัน เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว


ในวันนี้พอเลย 21.30น.ไปแล้ว เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อนพร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ เป็นระยะ บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน ต่างก็คึกคักกันมาก

ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สอง ทุกคนก็พยายามไม่เอ่ยถึงมันแต่ในใจต่างก็คิดกันว่า วันนี้ "โต๊ะจอง" ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง มันคงจะว่างเปล่าเพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม

พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้าๆ ออก ๆ พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป พูดเรื่องการค้าบ้าง คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง ในระยะนี้บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุกๆ เรื่อง จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน



เวลาผ่านไปจนถึง 22.30น.
ทันใดนั้นเองประตูร้านก็ถูกผลักออกเบา ๆ
ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน

ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน

พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใครทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่า
"ขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ" เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน
ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจเมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า

"เอ้อ…รบกวน…รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ"

ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำกับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน
เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก

"พวกคุณ .. พวกคุณ"
เขาพูดได้เพียงแค่นั้น คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ

ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับ เถ้าแก่เนี้ยว่า

"พวกเราสามคนแม่ลูกที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มา สั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้"

"หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัดแผนกกุมารเวชที่โรงพยาบาลเกียวโต ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว"

"วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต ได้เสนอความคิดที่เลิศเลออย่างหนึ่งก็คือ ......ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"

สองตายายฟังไปพลาง พยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า

เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตู พยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะกลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอแล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า

"อ้าว…เถ้าแก่… เป็นอะไรไปหล่ะ อุตสาห์เตรียมการมาตลอดสิบปีเพื่อเฝ้าคอยวันนี้ "โต๊ะจอง" ตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"

ในที่สุดเถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ ตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า

"ยินดีต้อนรับค่ะ…เชิญนั่งข้างในค่ะ…นี่ตาเฒ่า…บะหมี่น้ำสามชามโต๊ะสอง"

เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตาแล้วรับคำว่า

"ครับ..บะหมี่น้ำสามชาม"

หากดูกันตามจริงแล้ว สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไปมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ รวมทั้งคำอวยพรว่า
"ขอบคุณค่ะ(ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ(ครับ)"ก็เท่านั้นเอง

แต่มันกลับให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์ คับขับได้สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง


นิทานเรื่องนี้บอกว่า --- อย่าพยายามมองข้ามตัวเอง ตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้ บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจความห่วงใยอันจริงใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่างไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้

เราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตาที่เราอัดเก็บ ไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนานนั้นมอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจ จุดประกายแห่งความสว่างแก่โลก

ถึงแม้จะเป็นแสงเพียงริบหรี่เท่านั้น .....แต่สำหรับคืนอันหนาวเหน็บอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาว มันเป็นประกายแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างอันสุกสกาวจริงๆ

เรื่องนี้ตอนที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจมานับไม่ถ้วนแล้ว ดังนั้นจึงมีคนพูดกันว่า

"ใครที่อ่านนิทานเรื่องแล้ว ไม่มีใครเลยที่จะไม่หลั่งน้ำตาให้"

ถึงแม้คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปบ้าง แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ได้อ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว รู้สึกประทับใจจริงๆ จนน้ำตาร่วง และน้ำตาที่ร่วงรินเหล่านั้น มันไม่ใช่น้ำตาจากความรันทดใจ แต่เป็นน้ำตาที่หลั่งให้แก่ความประทับใจต่อความห่วงใยอย่างจริงใจ และน้ำใจไมตรีอันกว้างขวางที่มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ที่มา : ray_god@hotmail.com

20 บาทมีค่ามากสำหรับคนบางคน



ในขณะที่ใครหลายๆ คนกินอิ่ม นอนหลับอยู่ในบ้านที่แสนสบาย ใช้เงินฟุ่มเฟือยเต็มสูบไม่มีจำกัด อยากได้อะไรซื้อ อยากกินอะไรกิน ทิ้งๆ ขว้างๆ บ้างตามประสาคนเหลือกินเหลือใช้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง...กลับมีคนที่ยอมเดินด้วยเท้า จากจังหวัดอุบลราชธานี ไปยังจังหวัดอยุธยา ด้วยระยะทางไกลมากว่า 600 กิโลเมตร เพียงเพื่อเงินวันละ 20 บาท

เรื่องที่ทางทีมงานจะขอนำเสนอต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เพื่อนสมาชิกเว็บไซต์ pantip.com ประสบเหตุการณ์ด้วยตัวเอง และอยากนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟัง ซึ่งเขาก็เล่าว่า ... ผมและครอบครัวได้เดินทางไปเที่ยวจังหวัดอยุธยา ระหว่างทางก่อนที่จะถึงจุดหมาย ผมได้มองไปข้างทางและเห็นชายแก่คนหนึ่งใส่เสื้อสีขาว กางเกงขายาวสีน้ำเงิน กำลังเดินอยู่ข้างทางแบกถุงปุ๋ย พร้อมห่อผ้าขาวม้า 1 ห่อ เดินกลางแดดกลางวันร้อนๆ ยามบ่าย ผมจึงให้แฟนจอดรถและลงไปถามชายชราคนนั้นว่า

ผม : ตาจะไปไหน ทำไมมาเดินตากแดดแบบนี้เล่า

ตา : (ยิ้ม) จะไปอยุธยา

ผม : ตาจะไปทำไมที่อยุธยา ไปหาใครเหรอ

ตา : ไปรับจ้างเลี้ยงวัว มีคนเขาบอกว่าที่อยุธยา มีคนเขาหาคนเลี้ยงวัว

ผม : เขาจ้างวันละเท่าไหร่ ตารู้จักเขาเหรอ

ตา : เขาจ้างวันละ 20 บาท มีที่พักให้ด้วย (ตาหมายถึงนอนกับวัวเลย) ตาไม่รู้จักเขาหรอก ที่ไปนี้ก็ต้องไปถามเขาอีกทีว่าใครจะจ้างตาเลี้ยงวัวบ้าง

ผม : แล้วใครบอกตาว่าที่อยุธยาเขาหาคนเลี้ยงวัว

ตา : คนแถวบ้านตาบอก เขาพูดกันว่าที่อยุธยามีคนเขาหาคนเลี้ยงวัวเยอะ

ผม : ตามาจากไหนละ มาคนเดียวเหรอ แล้วยายไปไหนล่ะ

ตา : ตามาจากอุบลฯ ตามาคนเดียว เพราะยายตายแล้ว

ผม : ลูกๆ ไม่มีเหรอตา

ตา : มีลูก 2 คน ชายคน หญิงคน มีครอบครัวกันหมดแล้ว ไม่เคยเห็นหน้ามาหลายปีแล้ว ยายตายนี่พวกมันยังไม่รู้เลย

ผม : แล้วทำไมตาไม่อยู่บ้าน หางานแถวบ้านทำล่ะ

ตา : ตาไม่มีบ้าน พอยายตาย พี่น้องยายเขาก็ไม่ให้อยู่ในที่ของเขา งานแถวบ้านมี แต่เขาไม่จ้างตาทำ เขาบอกว่าตาแก่แล้ว ทำอะไรช้าไม่ทัน เขาก็ไม่จ้างตา

ผม : แล้วตามาถึงที่นี่ได้อย่างไง

ตา : ตาเดินมาเรื่อยๆ

ผม : เดินมาจากอุบลฯ นะเหรอตา ทำไมไม่นั่งรถเมล์มาล่ะ

ตา : (ยิ้ม) ตาไม่มีตังค์ (ควักเงินออกมาให้ดู ซึ่งในมือตามีเงิน 15 บาท เหรียญ 5 บาท 1 เหรียญ ที่เหลือเป็นเหรียญบาทเก่าๆ สีเขียว)

ผม : แล้วตาออกจากอุบลฯ มาวันไหน

ตา : หลังสงกรานต์ 2 วัน (ยิ้ม)

ผม : แล้วตาเอาอะไรมาด้วย นี่ห่ออะไรที่ตาถือมา

ตา : อ๋อ ห่อกระดูกยาย กับถุงเสื้อผ้าตา

ผม : แล้วตากินอะไรอยู่

ตา : เดินผ่านร้านที่เขาขายมันต้ม แม่ค้าเขาเลยให้ตามากินฟรีๆ ไม่เอาตังค์ตาด้วย

ผม : (สายตาของผมมองไปที่เท้าของตา เห็นรองเท้าของตามีกระดาษติดที่ส้น) กระดาษติดที่เท้าตานะ ระวังหกล้ม

ตา : (ยิ้ม) อ๋อ ตาเอามันมารองที่เท้าตาเอง เพราะส้นรองเท้ามันขาดแล้ว เวลาเดินมันร้อนส้นเท้า

ผม : แล้วนั่นน้ำอะไรจ๊ะตา (เห็นน้ำสีน้ำตาลในขวดสีขาวขุ่นมากๆ วางอยู่ข้างๆ ตา)

ตา : น้ำกินตาเอง

หลังจากนั่งคุยกับตาแกไปเรื่อยๆ ก็ได้รู้ว่า ตา อายุ 76 ปีแล้ว แต่ผมดันลืมถามชื่อแกมา รู้แต่ว่าสิ่งที่ได้สังเกตเห็นตลอดเวลาคือ เนื้อตัวค่อนข้างเลอะ มีรอยยุงกัดตามตัวเยอะมาก เพราะแกบอกว่าอาศัยนอนข้างถนน นอนศาลา และดวงตาของแกฝ้ามัวมาก เหมือนมีเส้นใยบางๆ ในดวงตา และอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นก็คือ "รอยยิ้ม" ที่เห็นฟัน 1 ซี่ ของแกมีมาให้ตลอดเวลาระหว่างที่สนทนากัน ทำให้ผมรู้สึกว่าตาเป็นคนอารมณ์ดี จากนั้นผมจึงได้ส่งร่มในมือที่ถือก่อนลงจากรถให้แกไว้ใช้ พร้อมเงินอีก 190 บาท (เพราะมีอยู่แค่นั้น) ซึ่งตอนที่แกได้ร่ม ตาแกดีใจมาก ยิ้มตลอดเวลา ในใจแกคงคิดว่าต่อไปนี้แกคงไม่ต้องเดินร้อนแล้วล่ะ อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมตาแกไม่ไปบวช หรือขอข้าววัดกิน เรื่องนี้พวกเราคุยกันว่า ตาแกยังคงอยากทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ไม่อยากจะขออาศัยวัดกิน มีมือมีเท้าก็อยากทำให้เกิดประโยชน์บ้าง …

...และนี่คือตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากต้องปาดกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง รู้แบบนี้แล้วทำไมไม่ลองมองย้อนมาดูตัวเอง ว่าวันนี้คุณ "พอเพียง" แค่ไหนกัน ? ทั้งนี้ผู้เล่าประสบการณ์ คิดได้ว่า เขาโชคดีเหลือเกินที่มีกินมีใช้ เกิดมาไม่ลำบาก มีพ่อแม่ มีเงินให้ใช้ แต่หลังจากเจอตาแล้วทำให้เขาคิดได้ว่า ต่อไปนี้เขาต้องรู้จักใช้เงิน รู้คุณค่าของเงินมากขึ้น เผื่อวันหน้าจะได้ไม่ลำบาก
ที่มา : fwdder.com

10 กันยายน, 2552

ดูตัวเองมากๆ


พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก-ดูตัวเองมากๆ
ทุกท่านอย่าลืมทำบุญ ทำคุณความดีและ ทำกุศล
ขอเสนอพระธรรมคำสอนของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
หวังว่าท่านจะนำไปใช้ในชีวิตของการทำงานและชีวิตครอบครัวได้ดีขึ้น...
พระอาจารย์สอนคนชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่น
โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ภาวนามาก ๆ ดูตัวเองมาก ๆ
หลวงพ่อ (พระโพธิญาณเถระ) บอกว่า
'ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90% ดูตัวเองแค่ 10%'
คือคอยดูแต่ความผิดของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น

กลับเสียใหม่นะ ดูคนอื่นเหลือไว้ 10%
ดูเพื่อศึกษาว่า เมื่อเขาทำอย่างนั้น คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เพื่อเอามาสอนตัวเองนั่นแหละ
ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง 90% จึงเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่

ธรรมชาติของจิตใจมันเข้าข้างตัวเอง
โบราณพูดว่า เรามักจะเห็น ความผิดของคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดของตนเองเท่ารูเข็ม
มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย เราจึงต้องระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเองให้มาก ๆ

เห็นความผิดของคนอื่น ให้หารด้วย 10
เห็นความผิดตัวเอง ให้คูณด้วย 10
จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม
เพราะเหตุนี้เราจะต้องพยายามมองแง่ดีของคนอื่นมาก ๆ
และตำหนิติเตียนตัวเองมาก ๆ
แต่ถึงอย่างไร ๆ เราก็ยังเข้าข้างตัวเองนั่นแหละ

พยายามอย่าสนใจการกระทำ การปฏิบัติของคนอื่น
ดูตัวเอง สนใจแก้ไขตัวเองนั่นแหละมาก ๆ
เช่น เข้าครัวเห็นเด็กทำอะไรไม่ถูกใจ แล้วก็เกิดอารมณ์ร้อนใจ
ยังไม่ต้องบอกให้เขาแก้ไขอะไรหรอก รีบแก้ไข ระงับอารมณ์ร้อนใจของตัวเองเสียก่อน
เห็นอะไร คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ก็สักแต่ว่า ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน
ความเห็น ความคิด ความรู้สึกก็ไม่แน่ ..... ไม่แน่ อาจจะถูกก็ได้ อาจจะผิดก็ได้
เราอาจจะเปลี่ยนความเห็นก็ได้
สักแต่ว่า.....สักแต่ว่า.....ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน ยั! งไม่ต้องพูด

ดูใจเราก่อน สอนใจเราก่อน หัดปล่อยวางก่อน
เมื่อจิตสงบแล้ว เมื่อจิตปกติแล้ว จึงค่อยพูด จึงค่อยออกความเห็น
พูดด้วยเหตุ ด้วยผล ประกอบด้วยจิตเมตตากรุณา
ขณะมีอารมณ์อย่าเพิ่งพูด
ทำให้เสียความรู้สึกของผู้อื่น ทำให้เสียความรู้สึกของตัวเอง
ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร มักจะเสียประโยชน์ซ้ำไป

เพราะฉะนั้น อยู่ที่ไหน อยู่ที่วัด อยู่ที่บ้าน ก็สงบ ๆ ๆ ไม่ต้องดูคนอื่นว่าเขาทำผิด ๆ ๆ
ดูแต่ตัวเรา ระวังความรู้สึก ระวังอารมณ์ของเราเองให้มาก ๆ
พยายามแก้ไข พัฒนาตัวเรา ...... นั่นแหละ

เห็นอะไรชอบ ไม่ชอบ ปล่อยไว้ก่อน เรื่องของคนอื่น พยายามอย่าให้เข้ามาที่จิตใจเรา
ถ้าไม่ระวัง ก็จะยุ่งกับเรื่องของคนอื่นไปเรื่อย ๆ
หาเรื่องอยู่อย่างนั้น เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเป็นเรื่องของเราหมด
มีแต่ยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ ทั้งวัน
อารมณ์มาก จิตไม่ปกติ ไม่สบาย ทั้งวัน ๆ ก็หมดแรง

ระวังนะ
พยายามตามดูจิตของเรา ! รักษาจิตของเราให้เป็นปกติให้มาก
ใครจะเป็นอะไร ใครจะทำอะไร ดีหรือไม่ดี เรื่องของเขา
แม้เขาจะทำกับเรา ว่าเรา..... ก็เรื่องของเขา
อย่าเอามาเป็นอารมณ์ อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา

ดูใจเรานั่นแหละ พัฒนาตัวเองนั่นแหละ
ทำใจเราให้ปกติ สบาย ๆ มาก ๆ
หัด - ฝึก ปล่อยวาง นั่นเอง
ไม่มีอะไรหรอก
ไม่มีอะไรสำค ัญกว่าการตามรักษาจิตของเรา
คิดดี พูดดี ทำดี มีความสุข

ถ้าหากถ้อยคำจากเมลนี้ เป็นดั่งประทีปธรรมในการสร้างจิตสำนึกที่งดงามให้แก่ผู้ที่ได้อ่านและศึกษา พึงน้อมดวงจิตบูชาระลึกถึง
คุณพระรัตนตรัย แล้วไปสู่การประพฤติและการปฏิบัติตนในฐานะพุทธมามกะที่ดี ก็คงจะนำมาซึ่งปีติอันใหญ่หลวงยิ่ง จากการอนุโมทนาบุญ ของผู้จัดทำขึ้น แล้ว
ที่มา:iraygod@gmail.com

แครอท ไข่ เม็ดกาแฟ


ตั้งหม้อต้มน้ำทั้งหมด 3 ใบ
จากนั้นใส่แครอทลงในหม้อใบแรก
ใส่ไข่ไก่ในหม้อใบที่สอง
ใส่เม็ดกาแฟที่บดละเอียดแล้วในหม้อใบที่สาม
ปล่อยให้ต้มทั้งหมด 15 นาที จากนั้นนำสิ่งที่ได้จากการต้มออกมา
แครอทซึ่งก่อนต้มมีเนื้อแข็ง กลับนิ่มลง
ไข่ซึ่งก่อนต้มมีเนื้อในที่อ่อนเหลว บัดนี้เนื้อในกลับแข็ง
บัดนี้ผงกาแฟได้สลายไปแล้ว
แต่น้ำที่ใช้ต้มกลับมีสี
และกลิ่นหอมของกาแฟ
เปรียบได้กับชีวิตของคนเรา
ซึ่งไม่ได้ง่ายเสมอไป
และไม่ได้ราบรื่นอยู่เสมอ
บางครั้งชีวิตก็มีอุปสรรค
อาจมีบางอย่างที่ไม่เป็นไป
ตามที่เราคาดหวัง
อาจมีใครที่เขาไม่ปฏิบัติกับ
เราอย่างที่เราอยากให้เขาทำ
เราอาจจะทำงานหนักแต่ไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่เราต้องการ
และเมื่อพบกับอุปสรรค เราจะเป็นอย่างไร
ลองคิดกลับไปที่เรื่องหม้อต้มน้ำ
น้ำเดือดเปรียบเสมือนอุปสรรคในชีวิตของคนเรา
เราอาจจะเป็นเหมือนแครอท
ที่ก่อนจะพบกับอุปสรรค
มีความเข้มแข็งและยืนหยัด
แต่หลังจากพบกับอุปสรรคแล้ว
กลับอ่อนแอปวกเปียก
รู้สึกเหนื่อยล้า
สิ้นหวัง
และล้มเลิกความตั้งใจ
หมดสิ้นความพยายาม
ที่จะต่อสู้ต่อไป
จงอย่าเป็นเหมือนแครอท
เราอาจเป็นเหมือนไข่
ที่เริ่มต้นด้วยจิตใจที่
อ่อนโยนและอ่อนไหว
แต่สุดท้ายกลับกลายเป็น
คนที่แข็งกร้าน ไร้ความรู้สึก
เกลียดชังผู้อื่น
ไม่ชอบตัวเอง
กลายเป็นคนที่ไร้หัวใจ
ไร้ความรู้สึกที่อ่อนโยน
มีแต่ความขมขื่น
จงอย่าเป็นเหมือนไข่
เราอาจจะเป็นเหมือนเม็ดกาแฟ
น้ำเดือดไม่ได้
เปลี่ยนผงกาแฟ
แต่ผงกาแฟกลับ
ทำให้น้ำเปลี่ยนไป
น้ำเปลี่ยนไปเพราะผงกาแฟ
ทั้งสี
กลิ่น
และรสชาติ
น้ำยิ่งร้อน กาแฟก็ยิ่งมีรสชาติดีขึ้น
เราอาจเลือกเป็นเม็ดกาแฟ
รู้จักที่จะใช้ประโยชน์จากอุปสรรคที่เราประสบ
เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
สร้างสมความรู้ ทักษะ
และความสามารถใหม่ๆ
มีประสบการณ์มากขึ้น
ทำให้สิ่งแวดล้อมรอบข้างดีขึ้น
การที่เราจะประสบความสำเร็จได้
เราต้องพยายามอย่างไม่ลดละ
ต้องเชื่อและศรัทธาในสิ่งที่เราทำ
ไม่ย่อท้อ
มีความอดทน
จงระลึกไว้เสมอว่าปัญหาและอุปสรรค
ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น เก่งขึ้น
และแกร่งกล้าขึ้น
นยามที่เราพบอุปสรรค เราเลือกที่จะเป็นอะไร
เราอยากเป็น แครอท ไข่ หรือ เม็ดกาแฟ
จงเป็นดั่งเม็ดกาแฟ
ที่มา:harutai57@hotmail.com

Cookies Story



สาวน้อยคนหนึ่งนั่งรอเวลาออกของเครื่องบิน ในห้องboarding room ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
ขณะที่ต้องนั่งรอนานหลายชั่วโมง เธอตัดสินใจซื้อหนังสือมาอ่าน พร้อมคุ้กกี้สำหรับทานเล่นอีกถุงหนึ่ง
เธอนั่งอย่างสบายในเก้าอี้แบบ armchair ในห้อง VIP ของสนามบินนั้น พร้อมทั้งอ่านหนังสือและทานคุ้กกี้ไปอย่างมีความสุข
ข้างถุงใส่คุ้กกี้ มีชายหนุ่งนั่งอยู่พร้อมทั้งอ่านแมกกาซีน ไปด้วย .
เมื่อเธอหยิบคุ้กกี้ขึ้นมาทานหนึ่งชิ้น ผู้ชายคนนี้ก็หยิบขึ้นมาทานอีกหนึ่งชิ้นเช่นกัน เธอรู้สึกอึดอัดไม่พอใจมาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ได้แต่คิดในใจว่า ผู้ชายคนนี้คงประสาทไม่ดี ถ้าอารมย์ไม่ดีคงได้ซัดไอ้ผู้ชายคนนี้เข้าให้แล้ว กล้าดียังไงมาหยิบคุ้กกี้ของเราไปกิน
ในทุกครั้งที่เธอหยิบกินหนึ่งชิ้น เจ้าผู้ชายคนนี้ก็หยิบอีกหนึ่งชิ้นเช่นกัน
นี่มันกวนโมโหชัดๆ เธอได้แต่คิด เพราะไม่อยากโวยวายให้เกิดปัญหากับแค่คุ้กกี้ถุงเดียว
ในที่สุดก็เหลือแค่คุ้กกี้เพียงชิ้นเดียวเธอคิดว่า “ดีละ จะดูซิ ไอ้เจ้าผู้ชายคนนี้จะทำอย่างไรต่อไป.”
และแล้วชายหนุ่มคนนั้นก็หยิบมันขึ้นมา แบ่งออกเป็นสองส่วน และส่งครึ่งหนึ่งให้กับเธอ
โอ๊ย..นี่มันเกินไปแล้วนะ เธอรู้สึกโกรธอย่างมาก!
เธอลุกขึ้นคว้าหนังสือและข้าวของส่วนตัว แล้วเดินออกไปจาก boarding placecแห่งนั้นทันที
เมื่อเธอได้ที่นั่งบนเครื่องบิน ก็หยิบกระป๋าถือออกมาเปิด หยิบแว่นกันแดดออกมาสวม ทันใดนั้นก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ที่ได้เห็นถุงคุ้กกี้ที่ยังไม่ได้เปิด วางอยู่ข้างใน
เแต่ในขณะเดียวกัน เธอกลับโกรธ โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง เมื่อคิดว่าจะต้องแบ่งคุ้กกี้ครึ่งหนึ่งกับชายหนุ่มคนนั้น

ขณะนี้เธอไม่สามารถที่แม้แต่จะอธิบาย หรือกล่าวคำขอโทษธอรู้สึอับอายอย่างมากเธอเพิ่งรู้ว่า เธอทำผิดพลาดไปอย่างมหันต์ เธอลืมไปว่า คุ้กกี้ที่ซื้อมาถุงนั้น เธอได้ใส่ไว้ในกระเป๋าถือ
มีสิ่งสำคัญอยู่ 4ประการ ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของคุณ
ก้อนหิน
...เมื่อได้ขวางออกไปแล้ว!
คำพูด ...

.เมื่อได้พูดออกไป..!
เวลา....
...เมื่อหมุนผ่านพ้นไป!
โอกาส...

... เมื่อได้สูญเสียมันไป!
ทุกๆอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไปอย่างนี้เสมอ
จะหลงเหลืออยู่บ้างก็เพียงร่องรอยของความทรงจำ
ฉะนั้นจงสร้างร่องรอยแห่งความทรงจำที่ดี
พูดบวก เพราะจะทิ้งรอยแห่งความชื่นชม
ดูแลสุขภาพกาย/ใจให้ดีเพราะจะชราแต่แข็งแรง
และจงสร้างความสำเร็จให้ชีวิต พราะยังมีโอกาส
ที่มา : haurtai57@hotmail.com

อะไรสำคัญกว่ากัน



Which is more important.....
ณ. ฟาร์มแห่งหนึ่งในรัฐแคริฟอร์เนีย มีเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสี่ขวบ คุณพ่อของเธอมีรถบรรทุกคันหนึ่งซึ่งคุณพ่อรักมาก เนื่องจากแต่งซิ่งซะ ดูสดใสใหม่เอี่ยมอยู่เสมอ ถูกใจโก๋แก่ ว่างั้นเถอะ
อยู่มาวันหนึ่ง เด็กหญิงเอาของแข็งไปขีดรถเล่น จนรถเป็นรอยขูดขีดไปทั่วด้วยความโมโหสุดขีด ผู้เป็นพ่อใช้เส้นลวดมัดข้อมือของเด็กหญิง แล้วจับเธอมัดไว้ในโรงรถเพื่อเป็นการทำโทษ และกว่าเขาจะนึกขึ้นได้ ก็เป็นเวลาที่ร่วงเลยไปเกือบ 4 ชั่วโมงแล้ว
ตอนที่เขากลับเข้าไปในโรงรถอีกครั้ง มือของเด็กถูกรัดจนเลือดไม่ไหลเวียน จนต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล
แพทย์วินิจฉัยว่า ต้องตัดมือทั้งสองข้างทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตไว้ เนื่องจากเซลล์ส่วนที่เป็นมือได้ตายไปหมดแล้ว
เด็กหญิงจึงต้องสูญเสียมือทั้งสองข้างไป โดยที่เธอก็ยังไม่รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการถูกทำโทษในครั้งนี้เลย
มันยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความรู้สึกผิดอยู่ในใจตลอดเวลา
ครึ่งปีผ่านไป พ่อของเด็กนำรถไปเคาะพ่นทาสีใหม่ ก็ได้รถที่มีสีแสบจ๊าบ ประดุจรถใหม่กลับมาอีกครั้ง
พอถึงบ้าน เด็กหญิงเห็นรถทาสีใหม่ พูดขึ้นด้วยความไร้เดียงสาว่า “คุณพ่อคะ รถคุณพ่อสวยจังเลย เหมือนรถคันใหม่เลย” ในขณะเดียวกัน ก็ได้ยื่นแขนไร้มือคู่นั้นออกมา แล้วถามพ่อว่า
“แล้วเมื่อไหร่คุณพ่อถึงจะคืนมือให้หนูละค๊ะ”
คุณทราบไหมว่า เมื่อคุณพ่อคนนั้นได้ยินดังนั้น เขาทำอย่างไร...
เขาดึงปืนออกมา แล้วยิงตัวตายต่อหน้าลูกสาวของเขา... ...
ผู้คนมากมายในโลกนี้ ยังแยกไม่ออกว่าสิ่งใดเป็นสิ่งสำคัญกว่าในชีวิต มัวแต่ลุ่มหลงอยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบ เพราะนึกว่า นั่นคือสิ่งที่สำคัญกว่า...
...คุณจะเห็นคนบางคนอุตส่าห์ไปช่วยมูลนิธิต่างๆกวาดถนน แต่ไม่ยอมแม้แต่จะกวาดบ้านของตัวเอง...
...คนบางคนบริจาคเงินมากมายไปสร้างวัด แต่กับญาติพี่น้องตัวเองกลับเหนียวหนืดยิ่งกว่าอะไร...
...คนบางคนพูดจาไพเราะอ่อนหวานกับคนรอบข้าง แต่กับคนในบ้านกลับตะคอกฉุนเฉียว...
...นี่แสดงว่า คุณพ่อคนนั้น ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญกว่า ระหว่างรถ กับลูกของตัวเอง...
...ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้นคือ ในโลกนี้ล้วนเต็มด้วยเรื่องแบบนี้ และมีให้เห็นเป็นประจำ แม้แต่ท่ามกลางเธอและฉันนี่แหละ... ...

ที่มา:ksd.thsmc@gmail.com; 10 June 2009

01 กันยายน, 2552

บอกรักพ่อด้วยดอกพุทธรักษา




ตั้งแต่มีการกำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันพ่อแห่งชาติขึ้นมาครั้งแรกในปี พ.ศ. 2523 ก็ได้มีการกำหนดให้ดอกพุทธรักษาสีเหลือง เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันพ่อขึ้นมาพร้อมกัน คงเพราะด้วยชื่ออันเป็นมงคลของคำว่า "พุทธรักษา" ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้าทรงปกป้องคุ้มครองให้มีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ซึ่งมีเรียกกันมากว่า 200 ปี และสีเหลืองอันเป็นสีประจำวันพระราชสมภพ ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ของปวงชนชาวไทย การมอบดอกพุทธรักษาให้กับพ่อจึงเสมือนกับการบอกถึง ความรักและเคารพบูชาพ่อผู้สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้แก่ครอบครัว

พุทธรักษา มีชื่อเรียกอื่นเช่น พุทธศร บัวละวงศ์ เป็นพืชในวงศ์ CANNACEAE ชื่อสามัญ Butsarana และชื่อวิทยาศาสตร์คือ Canna indica เป็นพรรณไม้ล้มลุก เนื้ออ่อนอวบน้ำ ลำต้นมีความสูงประมาณ 1–2 เมตร มีลำต้นอยู่ใต้ดินเรียกว่า เหง้า มีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอคล้ายกับกล้วย ลักษณะหน่อที่เจริญเป็นต้นเหนือพื้นดินนั้น มีลักษณะกลมแบนสีเขียวขนาดลำต้นโตประมาณ 2–4 ซ.ม. ใบมีขนาดใหญ่สีเขียวโคนใบและปลายใบรีแหลม ขอบใบเรียบ กลางใบเป็นเส้นนูน โคนใบมีก้านใบยาวเป็นกาบใบหุ้มลำต้นซ้อนสลับกัน ขนาดใบกว้างประมาณ 10–15 ซ.ม. ยาวประมาณ 25–35 ซ.ม. ออกดอกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น ช่อดอกยาวประมาณ 15–20 ซ.ม. ประกอบด้วยดอก 8–10 ดอก และมีกลีบดอกบางนิ่ม ขนาดของดอกและสีสรรแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์

คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นพุทธรักษาไว้ประจำบ้านจะช่วยปกป้องคุ้มครอง ไม่ให้มีเหตุร้ายหรืออันตรายเกิดแก่บ้านและผู้อาศัย เพราะพุทธรักษาเป็นพรรณไม้ที่เชื่อกันว่า มีพระเจ้าคุ้มครองรักษาให้มีความสงบสุข คือเป็นไม้มงคลนามนั่นเอง

การปลูกนิยมปลูกในแปลงเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน หรือปลูกในกระถางเพื่อประดับอาคารบ้านเรือน ควรปลูกในดินร่วนซุย ที่มีความชื้นสูง ต้องการแสงรำไร หรือในบริเวณกลางแจ้งที่มีแสงแดดจัด ต้องการน้ำปานกลาง การดูแลรักษาค่อนข้างง่าย สามารถทนต่อโรคต่างๆ ได้ดี ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดและการแยกหน่อ แต่วิธีที่นิยมและได้ผลดีคือการแยกหน่อ

ที่มา: http://www.hrmratchaburi.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538773845