15 ธันวาคม, 2553

อะไรมีค่ามากที่สุดในชีวิต


ในอดีต มีวัดแห่งหนึ่งชื่อว่าหยวนยินซื่อ ทุกวันจะมีอุบาสก อุบาสิกา
ผู้มีจิตศรัทธาขึ้นมาไหว้พระขอพรเป็นจำนวนมาก กลิ่นธูปควันเทียนมิเคยขาดสาย



บนเสาคานหน้าวัดหยวนยินซื่อ มีแมงมุมตัวหนึ่งถักใยทำรังอยู่
มันได้รับกลิ่นอายแห่งธูปเทียนทุกวัน บำเพ็ญเพียรเป็นเวลาพันกว่าปี
แมงมุมจึงเริ่มบังเกิดดวงจิตพุทธญาณ


อยู่มาวันหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงเสด็จสู่วัดหยวนยินซื่อ เห็นว่าที่นี่มีญาติโยมจำนวนมาก
กลิ่นธูปควันเทียนบูชาไม่เคยขาด ก็ทรงปีติยินดียิ่งนัก ก่อนจะ
เสด็จออกไปจากวัด พระองค์แหงนพระพักตร์ขึ้นมองอย่างมิได้ตั้งใจก็เห็นแมงมุมบนคาน
พระองค์ทรงตรัสถามแมงมุมว่า

“เจ้ากับเราได้พบกัน นับเป็นบุญวาสนา เห็นแก่ที่เจ้าบำเพ็ญเพียรมาร่วมพันปี
เราจักถามคำถามหนึ่งกับเจ้า เจ้าจะว่าอย่างไร”

แมงมุมได้พบพระพุทธเจ้า ย่อมดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงรีบรับคำ พระพุทธองค์ตรัสถามว่า
“ในโลกนี้ สิ่งใดเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด”

แมงมุมหยุดคิดครู่หนึ่ง ก็ตอบว่า
“สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกนี้ ได้แก่ ‘สิ่งที่มิอาจได้มา’ และ ‘สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป’”

พระพุทธองค์ทรงพยักพระพักตร์ และเสด็จจากไป



กาลเวลาล่วงเลยไปอีกหนึ่งพันปี แมงมุมตัวดังกล่าว
ยังคงบำเพ็ญเพียรอยู่บนคานของวัดหยวนยินซื่อเช่นเดิม
แต่พุทธญาณของมันได้เพิ่มสูงและแก่กล้าขึ้นเป็นอันมาก

วันหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงเสด็จมายังหน้าวัดอีกครั้ง ตรัสกับแมงมุมว่า
“เจ้ายังสบายดีอยู่ไหม คำถามที่เราถามเจ้าเมื่อหนึ่งพันปีก่อน
เจ้าได้ไตร่ตรองให้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิมแล้วหรือยัง”

แมงมุมตอบว่า “ข้าพระองค์ยังคงรู้สึกเช่นเดิมว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกนี้ได้แก่
‘สิ่งที่มิอาจได้มา’ และ ‘สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป’”

พระพุทธองค์ตรัสว่า “เจ้าจงตรึกตรองดูให้ดีอีกหน่อย เราจะมาถามเจ้าอีก”

ผ่านไปอีกหนึ่งพันปี วันหนึ่ง เกิดลมพายุอย่างหนัก พัดเอาน้ำอำมฤตหยดหนึ่ง
มาเกาะอยู่บนใยของแมงมุม

แมงมุมจ้องมองหยดน้ำอำมฤต ช่างใสสะอาด บริสุทธิ์ กลมกลึง
ผ่องแผ้วตามธรรมชาติ ดวงจิตก็บังเกิดความชื่นชอบ

ดังนั้น หลายวันต่อมา ขอแค่ลืมตาขึ้นมาเห็น
น้ำอำมฤต แมงมุมก็รู้สึกเป็นสุขใจ ถึงกับรู้สึกว่า นี่เป็นวันเวลาที่มีความสุขที่สุด
ตลอดระยะเวลาสามพันปี

แต่แล้ว อยู่ๆ ก็เกิดลมพายุขึ้นอีกครั้ง และพัดเอาน้ำอำมฤตจากไป

แมงมุมรู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรสักอย่างไป รู้สึกเหงาและโศกเศร้าเป็นอย่างมาก

ขณะนี้เอง พระพุทธองค์ทรงเสด็จมาอีกครั้ง ตรัสถามแมงมุมว่า
“หนึ่งพันปีที่ผ่านมานี้ เจ้าได้ขบคิดคำถามเดิมต่อหรือไม่ ว่าในโลกนี้ สิ่งใดเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด”

แมงมุมนึกถึงน้ำอำมฤต จึงตอบพระพุทธองค์ด้วยคำตอบเดิมว่า
“สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกนี้ได้แก่ ‘สิ่งที่มิอาจได้มา’ และ ‘สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป’
คราวนี้ข้าพระพุทธเจ้า มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งกับคำตอบนี้ยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นทวีคูณ”

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ตกลง ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนั้น เจ้าจงไปเกิดในโลกมนุษย์ดูสักครั้งหนึ่งเถิด!”

และแล้ว แมงมุมจึงไปเกิดในตระกูลของขุนนางชั้นสูงกลายเป็นธิดาของเศรษฐี
บิดามารดาของนางตั้งชื่อให้นางว่า “จูเอ๋อ” (แมงมุม)

เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก เพียงพริบตาเดียวจูเอ๋อก็เติบใหญ่เป็นอนงค์นางวัยสิบหกปี
น่ารักน่าเอ็นดู สวยงามเกินกว่าใคร

วันหนึ่ง องค์ฮ่องเต้ทรงจัดงานเลี้ยงฉลองที่สวนบุปผชาติท้ายพระราชวัง
ให้กับจองหงวนคนใหม่นามว่า “กานลู่” (อำมฤต)



บรรดาหญิงสาวผู้เป็นราชนิกูล ลูกหลานขุนนางชั้นสูงจำนวนมากรวมทั้งจูเอ๋อ
และ องค์หญิงฉางเฟิง (สายลม) ต่างก็มาร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกัน


ในช่วงการแสดง จองหงวนคนใหม่ทั้งร่ายบทกลอน ขับทำนองเพลง
แสดงความสามารถมากมาย หญิงสาวในงานทุกคน ต่างก็ต้องมนต์เสน่ห์
ชื่นชอบหลงใหลจองหงวนใหม่กันไปตามๆ กัน
แต่จูเอ๋อรู้อยู่แก่ใจดี ไม่ได้หึงหวงหรือกระวนกระวายใจแม้แต่น้อย นางรู้ดีว่า
นี่เป็นบุพเพสันนิวาสที่พระพุทธองค์ทรงประทานให้แก่นาง
ท้ายที่สุดผู้ที่จะได้ครองหัวใจของจองหงวนหนุ่ม ต้องเป็นนางอย่างแน่นอน

วันเวลาผ่านล่วงเลยไป วันหนึ่งขณะจูเอ๋อไปไหว้พระกับมารดา บังเอิญจองหงวนหนุ่มกานลู่
ก็มาไหว้พระเป็นเพื่อนมารดาของเขาเช่นกัน

หลังจากจุดธูป กราบไหว้พระพุทธองค์เสร็จ ผู้ใหญ่ของทั้งสองก็สนทนากัน

จูเอ๋อกับกานลู่เดินมาคุยกันตรงระเบียง จูเอ๋อดีใจมาก ในที่สุดก็ได้อยู่กับคนที่ตนรักแล้ว
แต่ว่า ท่าทางที่กานลู่มีต่อจูเอ๋อนั้น ไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไหร่นัก



จูเอ๋อถามกานลู่ว่า
“ท่านจำไม่ได้แล้วหรือ เรื่องที่เราพบกันบนใยแมงมุม ในวัดหยวนยินซื่อเมื่อสิบหกปีก่อน”

กานลู่ตอบกลับด้วยความงุนงงว่า
“แม่นางจูเอ๋อ ท่านเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก อีกทั้งยังน่ารัก แต่ท่านช่างมีจินตนาการที่ล้ำลึกเหลือเกินนะ”
พูดจบ ก็จากไปพร้อมกับมารดาของเขา

เมื่อกลับถึงบ้าน จูเอ๋อรู้สึกอึดอัดในใจยิ่งนัก ในเมื่อพระพุทธองค์ทรงจัดการให้เกิดบุพเพสันนิวาสนี้ขึ้น
แล้วเหตุใดไม่ทำให้เขาจดจำเหตุการณ์นั้นไว้เล่า กานลู่ (อำมฤต) เหตุใดจึงไม่รู้สึกใด ๆ ต่อข้าเลย

หลายวันต่อมา ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการให้จองหงวนหนุ่มกานลู่อภิเษกสมรสกับองค์หญิงฉางเฟิง
ส่วนจูเอ๋อได้อภิเษกสมรสกับองค์ชายไท่จื่อจือ






ข่าวนี้ประดุจดั่งเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงในยามกลางวัน! จูเอ๋อตกใจมาก นางคิดไม่ตกว่า เหตุใดพระพุทธองค์ทรงทำกับนางเช่นนี้

หลายวันผ่านไป นางไม่กินไม่ดื่ม ครุ่นคิดอย่างหนักตลอดเวลา จนกระทั่งวิญญาณใกล้ถอดออกจากร่าง ชีวิตใกล้จะดับสูญ

เมื่อองค์ชายไท่จื่อจือทราบข่าว รีบเสด็จมาเยี่ยมถึงข้างเตียง พลางบอกกับจูเอ๋อที่กำลังหายใจอ่อนระทวยอยู่ในขณะนี้ว่า

“วันนั้นในงานเลี้ยงในสวนบุปผชาติ ท่ามกลางหญิงสาวจำนวนมาก ข้าตกหลุมรักเจ้าในแรกพบ ข้าเป็นผู้อ้อนวอนเสด็จพ่อ ขอให้ทรงประทานงานแต่งให้กับเราสองคน หากเจ้าต้องเป็นอะไรไป ข้าก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป!” ว่าแล้วก็ชักกระบี่ออกมาเตรียมฆ่าตัวตาย

ในขณะนี้เอง พระพุทธองค์ก็เสด็จมา พระองค์ตรัสกับจูเอ๋อที่วิญญาณกำลังจะออกจากร่างว่า

“แมงมุมเอ๋ย เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่า น้ำอำมฤต (กานลู่) ใครเป็นผู้พาเขามาถึงที่นี่ คือลม (องค์หญิงฉางเฟิง) ใช่ไหม ท้ายที่สุดลมก็ย่อมเป็นผู้พาเขาไป กานลู่จึงเป็นขององค์หญิงฉางเฟิงอยู่แล้ว สำหรับเจ้า เขาเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งในชีวิตของเจ้า
เป็นเพียงผู้มาเยือนคนหนึ่งเท่านั้น

ส่วนองค์ชายไท่จื่อจือ เดิมทีเดียวเขาเป็น ต้น ไม้เล็กๆ หน้าวัดหยวนยินซื่อ เขาเฝ้ามองเจ้ามาตลอดสามพันปี หลงรักเจ้ามาตลอดสามพันปี แต่เจ้ากลับไม่เคยก้มหน้าลงมามองเขาเลย แมงมุมน้อย เราจักถามเจ้าอีกครั้งว่า ในโลกนี้ สิ่งใดเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด”

หลังจากแมงมุมเข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้ ก็ตาสว่างทันที นางทูลตอบพระพุทธองค์ว่า “สิ่งที่มีค่าที่สุดในโลก ไม่ใช่สิ่งที่มิอาจได้มา หรือสิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป แต่ต้องอยู่กับปัจจุบัน แล้วทะนุถนอมความสุขตรงหน้าเอาไว้ให้ดี”

พูดจบ พระพุทธองค์ก็เสด็จจากไป วิญญาณของจูเอ๋อก็กลับเข้าร่าง นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นว่าองค์ชายไท่จื่อจือกำลังจะฆ่าตัวตาย จึงรีบห้ามปราม แล้วสวมกอดเขาด้วยความซาบซึ้ง...

ความสุขสูงสุดของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าได้ครอบครองอะไร แต่อยู่ที่กระบวนการขณะไขว่คว้าหาสิ่งสิ่งนั้นต่างหาก สิ่งใดที่ไม่ได้เป็นของคุณ ท้ายที่สุดก็ฝืนลิขิตไม่ได้

สุภาษิตชาวอเมริกันบอกว่า “เลข ‘0’ หมื่นตัว ก็สู้เลข ‘1’ ตัวเดียวไม่ได้”
สุภาษิตนี้บ่งบอกเอาไว้ชัดเจนว่า อะไรคือสิ่งที่ควรถนอม ควรรักษา ต้องใช้สติปัญญาเป็นตัวแยกแยะ สิ่งที่มิอาจได้มา สิ่งที่เพิ่งสูญเสียไป ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องไปไขว่คว้าให้จงได้เสมอไป

บรมกวีอังกฤษ วิลเลี่ยม เบลค William Blake กล่าวไว้ว่า “หนึ่งเม็ดทรายเท่ากับหนึ่งโลกหล้า หนึ่งบุปผาเท่ากับหนึ่งสรวงสวรรค์ ในฝ่ามือเกาะกุมความนิรันดร์ ชั่วพริบตาก็คือชั่วกาลนาน”
ที่มา : Mail Forwording:พี่ชาย

17 มีนาคม, 2553

ห้องที่ชื่อว่าใจ

ใจ ของเรานั้น ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า
เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น
สถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที เป็นต้นว่า เรามีห้องว่าง
เปล่าอยู่ห้องหนึ่ง เมื่อ - -

เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ
เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ
เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว
เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องนอน
เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก
เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี

ห้องแห่งหัวใจของเราก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย
ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปในใจ ใจของเราก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน

เราใส่ความเมตตาเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจดี
เราใส่ธรรมะเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ
เราใส่ความโกรธเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน
เราใส่ความเลวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจทราม
เราใส่ความกลัวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ
เราใส่ความเป็นนักสู้เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจสู้
เราใส่ความขาดสติเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจลอย

เห็นด้วยหรือไม่ว่า ใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย
เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้
พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า ใจเป็นนาย ใจเป็นผู้นำ ใจเป็นผู้สร้างสรรค์ ...
หรือบางทีก็ตรัสว่า จิตฺเตน นียติ โลโก แปลว่า โลกหมุนไปตามใจสั่งการ
โลกในที่นี้ หมายถึง ชีวิตของเรานั่นเอง โลกคือชีวิต จะหมุนซ้าย หมุนขวา
หมุนตรงหรือหมุนเอียง หมุนไปข้างหน้า หรือว่าหมุนไปข้างหลัง
ทั้งหลายทั้งปวงนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของใจทั้งหมดทั้งสิ้น
ใจของเราไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า เราบรรจุอะไรลงไป
ชีวิตของเราก็เป็นไปตามสิ่งที่บรรจุนั้น ทุกวันนี้
เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เราบรรจุอะไร
ลงไปในห้องแห่งหัวใจของเราบ้าง ความรู้ ความงมงาย ความรัก ความโกรธ
ความเกลียด ความโลภ ความดี ความชั่ว ความริษยา ความหน้าด้าน ความสะอาด
สว่าง สงบ หรือความตื่นรู้ ชีวิตจะเป็นอย่างไร รุ่งโรจน์หรือร่วงโรย
ขึ้นสูงหรือลงต่ำ สำคัญที่เราบรรจุอะไรลงไปในใจของเราเอง ...


ว.วชิรเมธี

22 กุมภาพันธ์, 2553

โรคกรรม.................... มีจริงหรือ?

ไปเยี่ยมเยียน หมอน้องชายเล่าเรื่องแปลกของคนไข้รายหนึ่งให้ฟัง

ซึ่งน่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้ผู้คนละบาปได้ดีจึงขอเล่าสู่กันฟังต่อ …….

การสนทนาตอนหนึ่งหมอน้องชายเล่าให้ฟังว่า

ตั้งแต่เป็นหมอมาไม่เคยเห็นผู้ป่วยรายใดต้องผ่าตัดทุลักทุเลซ้ำซากอย่างนี้เลย

สามปีต้องผ่าตัดห้าครั้งและหนักหนายิ่งขึ้นทุกครั้ง

ผู้ป่วยรายนี้ชื่อบุญมาครั้งแรกที่เข้าโรงพยาบาลก็เพื่อมาทำแผลที่นิ้วก้อยที่ถูกตะพาบน้ำกัด

หมอให้ทายากินยาแก้ปวดแก้อักเสบแล้วกลับบ้านดูแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอีก

ครึ่งเดือนต่อมาบุญมากลับมาใหม่แผลเก่าอักเสบรุนแรงบวมใหญ่

หมอตรวจพบว่าเชื้อโรคกินเข้ากระดูก จะต้องตัดนิ้วเพื่อไม่ให้เน่าลุกลาม

ซึ่งนิ้วเท้านั้นอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

หลังจากนั้นครึ่งปีบุญมาไปเที่ยวชายทะเลเขาถูกตะพาบน้ำกัดที่นิ้วเท้าอีก

อะไรจะเจาะจงได้ถึงอย่างนั้นนิ้วเท้าของบุญมาที่ถูกตะพาบน้ำกัดครั้งที่สองอักเสบบวมใหญ่

ภายในเวลาสองวัน เมื่อมาฉายเอกซเรย์ที่โรงพยาบาลก็ได้พบอีกว่า

เชื้อโรคกินเข้าไปถึงกระดูกหมดจึงต้องตัดนิ้วเท้าของเขาไปอีกหนึ่งนิ้ว

เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปีบุญมากลับมาที่โรงพยาบาลอีก

ครั้งนี้แผลเก่าทั้งสองแห่งเกิดอักเสบบวมใหญ่ขึ้นพร้อมกัน

พอเอกซเรย์ก็พบว่าแย่แล้ว ! เชื้อโรคแพร่เข้าไปกินกระดูกอย่างรุนแรง

เชื้อโรคนั้นกำลังกลายเป็นมะเร็ง จะต้องผ่าตัดฝ่ามือฝ่าเท้าออกให้หมดก่อนที่จะลุกลามขึ้นไปอีก

บุญมาต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลถึงยี่สิบกว่าวันด้วยสภาพของผู้ป่วยด้วน

วันหนึ่งลูกชายของญาติอุปสมบทบุญมาไปช่วยงาน คืนนั้นผู้ร่วมงานบวชนอนค้างที่วัดกันสี่ห้าสิบคน

เคราะห์หามยามร้ายของบุญมายังไม่จบสิ้นหนูตัวหนึ่งเจาะจงมา กัดตรงขาด้วนของบุญมาคนเดียว กัดแล้วก็หนีไป

บุญมาสะดุ้งตื่นด้วยความเจ็บปวดคนที่นอนอยู่ด้วยกันตกใจกับเสียงร้องพากันตื่นหมด

แผลที่หนูกัดไม่กว้างไม่ลึกนักมีเลือดซึมออกมาแต่ทุกคนพากันตกใจที่อยู่ดีๆ

ทำไมจึงมีหนูมากัดคนนอนหลับเพราะหนูจะกัดกินก็เฉพาะศพเท่านั้น

ไม่กัดกินคนเป็นๆบุญมาขวัญเสียถูกเคราะห์กรรมซ้ำเติมจนคิดว่าตนคงจะต้องตายในไม่ช้า

มันทารุณจิตใจมากไม่นานต่อมาเกิดอาการเจ็บคันบริเวณแผลเก่าที่มือที่เท้าอีก

บุญมารีบมาหาหมอที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

ผลการฉายเอกซเรย์ปรากฏว่าเชื้อมะเร็งกินลึกเข้าไปมาก หมอจำเป็นต้องจัดการตัดแขนขาทั้งท่อนของบุญมาทิ้งไป


หมอน้องชายซึ่งเป็นเจ้าของคนไข้แปลกใจในชะตากรรมของบุญมานัก

จึงสอบถามประวัติอย่างละเอียดอีกครั้งไว้และได้ความว่า

บุญมาชายอายุยี่สิบสามปี อาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างก่อสร้าง ชอบดื่มเหล้าเป็นประจำชอบแกล้มเหล้าด้วยปลาน้ำจืด
โดยเฉพาะชอบกินเต่ากินตะพาบ

บุญมาเคยได้ยินมาว่าใครกินตะพาบน้ำได้สิบถึงยี่สิบตัวแล้ว

ตลอดชีวิตจะไม่เป็นโรคไขข้ออักเสบอีกทั้งยังช่วยบำรุงไต

บุญมาจึงเพียรหาตะพาบน้ำมาผัดเผ็ดแกล้มเหล้าขาว บุญมากินตะพาบน้ำมาแล้วเกือบยี่สิบปี นับไม่ได้แล้วว่ากินเข้าไป
ได้กี่ตัว วันหนึ่งบุญมาซื้อตะพาบน้ำตัวใหญ่จากตลาดมา

ตะพาบน้ำตัวนี้น้ำหนักตั้งสิบกว่ากิโลกรัมเขาดีใจมาก ตัวใหญ่ขนาดนี้ฆ่ากินทีเดียวไม่หมดจะต้องค่อยๆกิน ที่บ้านไม่มีตู้เย็นให้แช่เก็บได้จึงต้องกินผ่อนทีละน้อย ตะพาบน้ำเป็นสัตว์อายุยืนอดทนไม่ตายง่ายๆ ไม่ว่าจะถูกกักขังอยู่ในสภาพใดก็อดทนมีชีวิตอยู่ได้เป็นปี

บุญมาเห็นแก่กินไม่นึกถึงว่าตะพาบจะต้องทนทุกข์ทรมานนานเพียงไร ต้องเจ็บปวดแสนสาหัสครั้งแล้วครั้งอีก

เขาตัดเฉือนเนื้อตะพาบส่วนต่างๆ ตามความพอใจมาปรุงอาหารทีละชิ้นๆ บาดแผลรอบตัวตะพาบเขาทาด้วยปูนแดงที่กินกับหมากเพื่อไม่ให้เนื้อตัวตะพาบเน่า ตะพาบตัวนั้นต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นานกว่าครึ่งเดือน

จากนั้นบุญมาจึงประหารเอามากินเป็นมื้อสุดท้าย บุญมาพอใจกับวิธีที่จะได้กินเนื้อตะพาบสดๆ ทุกวันอย่างนี้เรื่อยมา

ผลสรุปประวัติผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบันทึกไว้ในตอนท้ายมีอยู่ประโยคหนึ่งว่า …..

เป็นประวัติที่แสดงให้เห็นกรรมตามสนองอย่างไม่น่าเชื่อที่ไม่มีข้อสรุปชัดเจน ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ปัจจุบัน

ปล.คุณควรตระหนักถึงการกระทำที่คุณได้ทำอยู่ในทุกวันนี้

ถึงผลดีและผลร้ายที่คุณได้กระทำลงไป มันจะส่งผลกลับมาหาคุณเอง ที่เรียกกันว่า ' กรรมตามสนอง ' นั้นเอง

ที่มา : Mail Forwarding :อุดมศรี ชาติทอง

19 มกราคม, 2553

คนขายสุนัข

มีร้านค้าแห่งหนึ่ง ติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว เมื่อรู้ข่าว ก็มีเด็ก ๆ แวะเวียนเข้ามาเล่น มาชมลูกสุนัขทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง

วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่น ๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่งก็มากระตุกชายเสื้อเขา เขาก้มลงมอง และ ถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่
"เพื่อนของผมบอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ?" เด็กบอกอย่างสุภาพ
"อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ" เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดี แล้วผิวปากเรียกสุนัขทั้งเจ็ดออกมา
เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งตุ้ยนุ้ยออกมาทีละตัว เขานับ...แต่ก็มีแค่หกตัวเท่านั้น
"ไหนว่ามีเจ็ดตัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ?" เด็กชายถาม
เจ้าของร้านตอบว่า "อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี มันก็เลยต้องคลานออกมา วิ่งมาพร้อมกับพี่ ๆ ของมันไม่ได้" สิ้นคำเจ้าของร้าน ลูกสุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา ขาหลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน
ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้วครางงี้ด ๆ เห็นได้ชัดว่ า! มันพยายา มคลานมาหาเขา หางของมันกระดิกดุ๊กดิ๊ก ๆ อยู่ตลอดเวลา มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย ท่าทางจะชอบเขามาก
เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมา ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า "หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ?"

"ปกติ อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ" เจ้าของร้านตอบ

เด็กชายนิ่งอึ้งไปก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ เขามีเงินอยู่เพียงสี่ร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น
"ผมมีเงินไม่พอซื้อหมาตัวนี้" เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ
เจ้าของร้านรีบบอกทันทีว่า "โอ๊ะ!!หนู ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก อายกให้หนูฟรี ๆ ไปเลย"
เด็กชายฟังเจ้าของร้านแล้วชะงักไป ก่อนจะถามกลับไปอย่างไม่พอใจ! ว่า

"ทำไมครับ ทำไมถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้"
"ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อม ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ของมัน และอาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว เพราะมันพิการ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ ความจริงอาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ ลองดูตัวอื่นดีไหม"
เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า "คุณอาดูอะไรนี่สิครับ"
ว่าแล้วเขาก็ดึงขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น เจ้าของร้านจึงได้เห็นว่า ขาของเด็กชายคนนี้เล็กลีบเช่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้ ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้
"คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่น ๆ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้ อย่างนี้ผมก็เป็ นคนไร้คุณค่าหรือเปล่าครับ"
เจ้าของร้านนิ่งอึ้งไป ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา
เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า
"ผมจะซื้อสุนัขตัวนี้ในราคาสองพันบาทเท่ากับลูกหมาตัวอื่น ๆ แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอา ขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้ เดือนละหนึ่งร้อยบาททุกเดือน จนครบสองพันบาท คุณอาจะว่าอย่างไรครับ"
เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน ทรุดตัวลงตรงหน้าเด็กชายและกอดเขาไว้ด้วยความประทับใจ พลางกล่าวขอโทษขอโพยในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป เขาบอกว่าไม่ขัดข้องที่จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูกสุนัขตัวนี้ และกล่าวว่าถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเด็กชาย พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก
...................................................
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อย่าตัดสินคุณค่า จากรูปลักษณ์ภายนอก
Mail Forwarding : Mr.Watthanasak Wongkhampha

Story of "Hold my Hand"


Hold My Hand

Here is a short story with a beautiful message...
นี่คื่อเรื่องสั้นที่ส่งพร้อมกับข้อความที่สวยงาม

Little girl and her father were cr os sing a bridge.
มีพ่อลูกคู่นึงกำลังจะข้ามสะพาน

The father was kind of scared so he asked his little daughter,
คุณพ่อค่อนข้างกลัวเล็กๆ เลยบอกลูกสาวตัวน้อยของเขาว่า

' Sweetheart, please hold my hand so that you don ' t fall into the river. '
ลูกรักจ๊ะ จับมือพ่อไว้สิ หนูจะได้ไม่ตกลงไปในแม่น้ำ

The little girl said, ' No, Dad. You hold my hand. '
เด็กน้อยกล่าวว่า 'ไม่ค่ะพ่อ พ่อหน่ะแหละจับมือหนู'

' What ' s the difference? ' Asked the puzzled father.
.'มันต่างกันยังไงจ๊ะลูก' พ่อถามด้วยความสงสัย

' There ' s a big difference, ' replied the little girl.
'มันต่างกันมากเลยค่ะพ่อ' เด็กน้อยกล่าว

' If I hold your hand and something happens to me,
'ถ้าหนูจับมือพ่อ แล้วมีอะไรเกิดขึ้นกับหนู,
chances are that I may let your hand go.
มันมีโอกาสที่หนูจะปล่อยมือพ่อ

But if you hold my hand, I know for sure that no matter what happens,
แต่ถ้าพ่อจับมือหนู หนูรู้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
you will never let my hand go. '
พ่อไม่มีวันปล่อยมือหนูแน่นอน'


In any relationship, the essence of trust is not in its bind, but in its bond.
ในทุกความสัมพันธ์ สิ่งสำคัญของความเชื่อมั่น ไว้ใจ ไม่ใช่อยู่ที่สาระของมัน แต่เป็นความรู้สึกกับมัน

So hold the hand of the person who loves you rather than expecting them to
hold yours...
เพราะฉะนั้น จงจับมือคนที่รักคุณ ดีกว่าที่จะหวังไว้เค้าจับมือคุณ

This message is too short......but carries a lot of Feelings.
ข้อความนี้สั้นเกินไป แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกมากมาย

Mail Forwarding :Mr.Watthanasak Wongkhampha